โครงงานวิทยาศาสตร์ (ประเภททดลอง)
เรื่อง เซลล์กัลป์วานิกส์จากน้ำทะเล
โดย
เด็กชายนูรูดดีน พัดเย็นใจ
เด็กชายสหชาติ เนียมแก้ว
เด็กชายวทัญญู ศรีอุดรไพร
ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3
โรงเรียนบ้านเนินพลับหวาน
ครูที่ปรึกษา
นางสาวณัทลาวัลย์ สารสุข
บทคัดย่อ
โครงงานวิทยาศาสตร์เรื่อง “เซลล์กัลวานิกส์จากน้ำทะเล” เป็นโครงงานที่ศึกษาการผลิตกระแสไฟฟ้าโดยใช้ทฤษฎีทางไฟฟ้าเคมี ขั้วไฟฟ้าหรืออิเล็กโทรดที่ใช้ ได้แก่ ขั้วสังกะสีและขั้วทองแดง และใช้สารละลายที่นำไฟฟ้าได้หรือสารละลายอิเล็กโทรไลต์ เป็นสารละลายกรดซัลฟิวริก โดยมีจุดมุ่งหมายเพื่อทดลองปฏิกิริยาเคมีที่เกิดขณะเซลล์กัลป์วานิกส์ทำงาน โดยใช้น้ำทะเลแทนสารละลาย กรดซัลฟิวริกเพื่อความประหยัดและปลอดภัยในขณะที่ทำการทดลอง โดยแบ่งการทดลองเป็น 5 ขั้นตอน คือ การทดลองการเกิดเซลล์ไฟฟ้าเคมีโดยใช้สารละลายกรดซัลฟิวริกและน้ำทะเลเป็นสารละลาย อิเล็กโทรไลต์
จากผลการทดลองพบว่าน้ำทะเลมีผลต่อการเกิดปฏิกิริยาเคมีของเซลล์กัลวานิก นั่นคือเมื่อจุ่ม แผ่นทองแดงและแผ่นสังกะสีลงในน้ำทะเลจะเกิดปฏิกิริยาเคมี และเมื่อต่อแอมมิเตอร์เข้ากับแผ่นโลหะ ทั้งสอง จะมีกระแสไฟฟ้าเกิดขึ้น โดยสังเกตจากการเบนของเข็มของแอมมิเตอร์ นี่คือหลักการของเซลล์ไฟฟ้าเคมี
กิตติกรรมประกาศ
รายงานโครงวิทยาศาสตร์เรื่อง “เซลล์กัลวานิกส์จากน้ำทะเล” คณะผู้จัดทำได้ศึกษาและทดลองเกี่ยวกับปฏิกิริยาเคมีที่เกิดขณะเซลล์กัลวานิกส์ทำงาน โดยใช้น้ำทะเลแทนสารละลายกรดซัลฟิวริก เพื่อประหยัดและปลอดภัยในการทำการทำลอง คณะผู้จัดทำได้รับความแนะนำช่วยเหลือดูแลตลอด การทดลองเป็นอย่างดีจากครูที่ปรึกษาโครงงาน และคุณครูกลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ โรงเรียน บ้านเนินพลับหวานทุกท่าน ที่ให้ความช่วยเหลือจัดหาแนะนำเอกสารที่เกี่ยวกับการทำโครงงานวิทยาศาสตร์ รวมทั้งการให้กำลังใจส่งเสริมการทำโครงงานจาก นายประทีป ศรีรักษา ผู้อำนวยการโรงเรียนบ้านเนินพลับหวาน จึงขอกราบขอบพระคุณท่านมา ณ ที่นี้ด้วย
บทที่ 1
บทนำ
1. ความสำคัญและที่มาของโครงงาน
ในปัจจุบันกิจกรรมต่างๆ ที่มนุษย์ต้องทำในชีวิตประจำวันแล้วแต่ต้องใช้พลังงานเป็นองค์ประกอบทั้งสิ้นไม่ว่าจะเป็นพลังงานไฟฟ้า พลังงานจากปิโตรเลียม เป็นต้น ทั้งที่มนุษย์จำเป็นต้องใช้ประโยชน์จากพลังงานอย่างมหาศาล แต่กลับไม่มีการบำรุงรักษาหรือหาแหล่งพลังงานทดแทนกันมากเท่าที่ควร ทำให้พลังงานที่มีเหลืออยู่กำลังจะไม่เพียงพอต่อการใช้งานของมนุษย์ โดยเฉพาะพลังงานจากปิโตรเลียมซึ่งเป็นแหล่งพลังงานที่สำคัญที่สุดในปัจจุบันและยังเป็นแหล่งพลังงานที่เหลืออยู่น้อยที่สุดอีกด้วย ด้วยเหตุนี้ทำให้นักวิทยาศาสตร์และบุคลากรด้านอื่นจำนวนมาก ได้ทุ่มเทกำลังเพื่อที่จะหาแนวทางแก้ปัญหาการขาดแคลนพลังงานที่จะเกิดขึ้นในอนาคต ซึ่งทางหนึ่งที่มีคนเห็นด้วยเป็นจำนวนมาก นั่นคือการหาแหล่งพลังงานทดแทน ได้แก่พลังงานจากเซลล์แสงอาทิตย์ พลังงานจากน้ำ(เขื่อน) พลังงานลม และพลังงานจาก ปฏิกิริยาเคมี
สิ่งที่คณะผู้จัดทำเลือกมาศึกษาได้แก่ พลังงานจากปฏิกิริยาเคมี ซึ่งพลังงานจากปฏิกิริยาเคมีก็มีหลายประเภท และหนึ่งในนั้น ก็คือปฏิกิริยาไฟฟ้าเคมี ซึ่งเกิดจากปฏิกิริยาออกซิเดชั่น-รีดักชั่น
เหตุที่เลือกศึกษาน้ำทะเลเนื่องจากโรงเรียนบ้านเนินพลับหวาน ตั้งอยู่ในภูมิภาคที่อยู่ติดกับทะเล จึงง่ายต่อการดำเนินการทดลอง เพราะถ้าใช้สารที่เป็นอันตรายในการทำการทดลองต้องระมัดระวัง เป็นอย่างมาก เพื่อให้เกิดความปลอดภัยในขณะที่ทำการทดลอง คณะผู้จัดทำจึงต้องค้นหาสิ่งที่ทดแทน สารที่เป็นอันตรายเหล่านั้น ที่สะดวก ประหยัดและปลอดภัยที่สุด น้ำทะเลจึงเป็นสิ่งที่คณะผู้จัดทำโครงงานสนใจศึกษา เพราะส่วนประกอบหลักที่พบมากในน้ำทะเล คือ โซเดียมคลอไรด์ ทำให้ผู้วิจัยมีสมมติฐานว่าน้ำทะเลมีผลต่อการเกิดปฏิกิริยาเคมีของเซลล์กัลวานิกส์ จึงมีความสนใจที่จะนำมาทดลองต่อไป
2. จุดมุ่งหมาย / วัตถุประสงค์ของโครงงาน
ทดลองปฏิกิริยาเคมีที่เกิดขณะเซลล์กัลป์วานิกส์ทำงานโดยใช้น้ำทะเลแทนสารละลายกรดซัลฟิวริก เพื่อประหยัดและปลอดภัย
3. สมมติฐานการวิจัย
น้ำทะเลมีผลต่อการเกิดปฏิกิริยาเคมีของเซลล์กัลป์วานิกส์
4. ขอบเขตของการศึกษาค้นคว้า
การทดลองการเกิดกระแสไฟฟ้าขณะเซลล์กัลป์วานิกส์ทำงานโดยใช้น้ำทะเล
5. ตัวแปรที่ศึกษา
ตัวแปรต้น
- น้ำทะเลทำให้เกิดกระแสไฟฟ้าขณะเซลล์กัลป์วานิกส์ทำงาน
ตัวแปรตาม
- น้ำทะเลมีผลต่อการเกิดปฏิกิริยาเคมี ทำให้เกิดกระแสไฟฟ้าขณะเซลล์กัลวานิกส์ทำงาน
ตัวแปรควบคุม
- ขนาดของแผ่นสังกะสี และแผ่นทองแดง
- ขนาดของบีกเกอร์
- ปริมาณน้ำทะเลที่นำมาทดลอง
- ปริมาณกรดซัลฟิวริกที่นำมาทดลอง
บทที่ 2
เอกสารที่เกี่ยวข้อง
1. ประเภทและส่วนประกอบของเซลล์ไฟฟ้าเคมี
เซลล์ไฟฟ้าเคมี (Ealvanic cell) คืออุปกรณ์ทางเคมีที่เกิดจากการเปลี่ยนแปลงพลังงานเคมีเป็นพลังงานไฟฟ้า หรือพลังงานไฟฟ้าเป็นพลังงานเคมี แบ่งออกเป็น 2 ประเภท เซลล์กัลป์วานิกส์และ เซลล์อิเล็กโทรไลต์
เซลล์กัลวานิกหรือเซลล์วอลเตอิก ( Galvanic Cells or Voltaic Cell)
คือเซลล์ไฟฟ้าเคมีหรือระบบที่ทำหน้าที่เปลี่ยนพลังงานเคมีเป็นพลังงานไฟฟ้า โดยภายในเซลล์เกิดปฏิกิริยาการถ่ายโอนอิเล็กตรอนจากสารหนึ่งไปอีกสารหนึ่ง(ปฏิกิริยารีดอกซ์) โดยที่สารตั้งต้นไม่ได้สัมผัสกันโดยตรง ทำให้การไหลของอิเล็กตรอนผ่านตัวนำอย่างต่อเนื่อง จึงเกิดกระแสไฟฟ้าไหลในวงจร
เซลล์กัลวานิก ประกอบด้วยสองครึ่งเซลล์ แต่ละครึ่งเซลล์มักประกอบด้วยโลหะ ซึ่งเป็นขั้วไฟฟ้าจุ่มอยู่ในสารละลายของไอออนของโลหะนั้น ทำหน้าที่เป็นสารละลายอิเล็กโทรไลต์ แต่ในบางครึ่งเซลล์ประกอบด้วยอโลหะกับอโลหะไอออน หรือไอออนสองชนิด กรณีนี้มักใช้ขั้วเฉื่อย เป็นขั้วไฟฟ้า เพราะอโลหะหรือไอออนไม่สามารถเป็นขั้วไฟฟ้าได้ เช่น มีก๊าซ H2 อยู่ร่วมกับ H+ หรือ ก๊าซ Cl2 อยู่ร่วมกับ Sn4+ โดยมี Pt เป็นขั้วไฟฟ้า เป็นต้น (ขั้วไฟฟ้าเฉื่อย ไม่มีส่วนในการเกิดปฏิกิริยา รีดอกซ์ เพียงแต่ทำหน้าที่ให้กระแสอิเล็กตรอนหรือกระแสไฟฟ้าไหลผ่านเท่านั้น)
เซลล์กัลวานิก เป็นเซลล์ไฟฟ้าที่สามารถผลิตไฟฟ้าให้เกิดขึ้นได้เองด้วยปฏิกิริยารีดอกซ์
ในการศึกษาปฏิกิริยารีดอกซ์ เราใช้แผ่นโลหะจุ่มในสารละลายโดยตรง แต่ในเซลล์ไฟฟ้าเคมี แผ่นโลหะที่จะเกิดปฏิกิริยากับสารละลาย จะอยู่ในภาชนะต่างกัน แล้วนำมาต่อเชื่อมกัน เชลล์ไฟฟ้าจึงประกอบด้วยภาชนะ 2 ใบ เรียกภาชนะแต่ละใบว่า ครึ่งเซลล์( Half Cell)
ครึ่งเซลล์ คือแผ่นโลหะที่จุ่มในสารละลายของไอออนของโลหะนั้นหรือก๊าซที่พ่นลงในสารละลายของ ก๊าซนั้น แผ่นโลหะหรือก๊าซที่จุ่มอยู่ในสารละลายเรียกว่า ขั้วไฟฟ้า ขั้วไฟฟ้าจะมี 3 ชนิด
1. ขั้วไฟฟ้าโลหะ คือ แผ่นโลหะที่จุ่มในสารละลายของไอออนของโลหะนั้น ขั้วโลหะจะทำหน้าที่ เกิดปฏิกิริยาและนำอิเล็กตรอน
2. ขั้วไฟฟ้าก๊าซ คือ ก๊าซที่พ่นลงไปในสารละลาย ก๊าซจะทำหน้าที่ในการเกิดปฏิกิริยา แต่นำอิเล็กตรอนไม่ได้ จึงต้องใช้ร่วมกับขั้วไฟฟ้าเฉื่อย
3. ขั้วไฟฟ้าเฉื่อย เป็นขั้วไฟฟ้าที่ช่วยนำอิเล็กตรอน แต่ไม่มีส่วนร่วมในการเกิดปฏิกิริยาต้องใช้ร่วมกับขั้วไฟฟ้าก๊าซ ขั้วไฟฟ้าเฉื่อย
เมื่อนำครึ่งเซลล์ที่ต่างกัน 2 ครึ่งเซลล์ มาต่อเชื่อมเข้าด้วยกัน โดยเชื่อมวงจรภายในด้วยสะพานไอออนและเชื่อมวงจรภายนอกด้วยตัวต้านทาน จะเกิดการไหลของอิเล็กตรอนขึ้น อิเล็กตรอนไหลไป ทางใด เข็มโวลต์มิเตอร์จะเบนไปในทิศทางนั้น
จากรูปเซลล์กัลวานิกประกอบด้วยสองครึ่งเซลล์ โดยแต่ละครึ่งเซลล์จะประกอบด้วยขั้วไฟฟ้าที่จุ่มลงไปในสารละลาย แท่งสังกะสีและแท่งทองแดงในเซลล์เป็นขั้วไฟฟ้าซึ่งเรียกว่า อิเล็กโทรด (electrode) ขั้วที่เกิดปฏิกิริยาออกซิเดชัน เรียกว่า ขั้วแอโนด (anode) และขั้วที่เกิดปฏิกิริยารีดักชัน เรียกว่า ขั้วแคโทด (cathode)
ปฏิกิริยาออกซิเดชันที่แอโนด (Zn) Zn(s) → Zn 2+ (aq) + 2e -
ปฏิกิริยารีดักชันที่แคโทด (Cu) Cu 2+ (aq) + 2e → - Cu(s)
หมายเหตุ : ประจุที่สะสมจะทำให้ออกซิเดชันที่แคโทดและรีดักชันที่แอโนดเกิดยากขึ้น
ระหว่างที่เกิดปฏิกิริยาออกซิเดชันขึ้นที่ขั้วแอโนด Zn จะค่อย ๆ กร่อนแล้วเกิดเป็น Zn 2+ ละลายลงมาในสารละลายที่มี Zn 2+ และ SO 4 2- ส่วนที่ขั้วแคโทด Cu 2+ จากสารละลายเกิดปฏิกิริยารีดักชันกลายเป็นอะตอมของทองแดงเกาะอยู่ที่ผิวของขั้วไฟฟ้า เมื่อปฏิกิริยาดำเนินไปจะพบว่าในครึ่งเซลล์ออกซิเดชันสารละลายจะมีประจุบวก (Zn 2+ ) มากกว่าประจุลบ (SO 4 2- ) และในครึ่งเซลล์รีดักชันสารละลายจะมีประจุลบ (SO 4 2- ) มากกว่าประจุบวก (Cu 2+ ) จึงเกิดความไม่สมดุลทางไฟฟ้าขึ้น ปัญหานี้สามารถที่จะแก้ไขได้โดยการใช้ สะพานเกลือ (salt bridge) เชื่อมต่อระหว่างสองครึ่งเซลล์ ซึ่งสะพานเกลือทำจากหลอดแก้วรูปตัวยู ภายในบรรจุอิเล็กโตรไลต์ที่ไม่ทำปฏิกิริยากับสารในเซลล์และมีไอออนบวก ไอออนลบเคลื่อนที่ด้วยความเร็วใกล้เคียงกัน หรือทำจากกระดาษกรองชุบอิเล็กโตรไลต์ โดยสะพานเกลือทำหน้าที่เป็นตัวกลางที่เชื่อมต่อระหว่างครึ่งเซลล์ทั้งสอง และเป็นสิ่งที่ป้องกันการเกิดการสะสมของประจุโดยไอออนบวกจากสะพานเกลือจะเคลื่อนที่ไปยังครึ่งเซลล์ที่มีประจุลบมาก ในทางตรงกันข้ามไอออนลบก็จะเคลื่อนที่ไปยังครึ่งเซลล์ที่มีประจุมาก จึงทำให้ปฏิกิริยาดำเนินต่อไปได้ในเวลาที่มากขึ้น
และเนื่องจากครึ่งเซลล์ทั้งสองเชื่อมต่อกับวงจรภายนอก ครึ่งเซลล์ที่มีศักย์รีดักชันสูงกว่าจะเกิดรีดักชัน และครึ่งเซลล์ที่มีศักย์รีดักชันต่ำกว่าจะ(ถูกบังคับให้)เกิดออกซิเดชัน ความต่างศักย์ระหว่างอิเล็กโทรดนี้ เรียกว่า แรงเคลื่อนไฟฟ้า (electromotive force: emf) และมีหน่วยเป็น โวลต์ (volt)
แหล่งและส่วนประกอบของน้ำทะเล (Origin and compositon of seawater)
น้ำทะเลเป็นสารละลายที่ซับซ้อนของเกลือ โดยมีเกลือละลายอยู่ 3.5% โดยน้ำหนัก ถึงแม้ว่า เปอร์เซ็นต์ของเกลือในน้ำทะเลจะน้อย แต่เมื่อพิจารณาจากปริมาณจะพบว่าเป็นมหาศาลมาก ถ้าหากน้ำ ในมหาสมุทรระเหยไปหมด จะได้ชั้นเกลือหนาถึง 60 เมตร ค่าความเค็ม (salinity) เป็นสัดส่วนของเกลือที่ละลายกับน้ำบริสุทธิ์ ส่วนประกอบหลัก ที่พบมากในน้ำทะเล ได้แก่ sodium chloride (NaCl) ประมาณ 23.48 กรัม, magnesium chloride (MgCl2) ประมาณ 4.98 กรัม, sodium sulfate (NaSO4) ประมาณ 3.92 กรัม, calcium chloride (CaCl2) ประมาณ 1.10 กรัม potassium chloride (KCl) ประมาณ 0.66 กรัม และ sodium bicarbonate (NaHCO3) ประมาณ 0.192 กรัม จะพบว่าเกลือส่วนใหญ่เป็น sodium chloride สารประกอบ 5 ตัวแรก รวมกันจะมีปริมาณประมาณ 99% ของเกลือที่อยู่ในน้ำทะเล และสารประกอบทั้ง 5 ตัว จะประกอบด้วยธาตุเพียง 7 ชนิดเท่านั้น ธาตุเหล่านี้มีความสำคัญมากต่อการรักษาสภาพแวดล้อม ทางเคมีสำหรับสิ่งมีชีวิตในทะเล
บทที่ 3
อุปกรณ์และวิธีดำเนินการศึกษา
1.วัสดุอุปกรณ์และสารเคมีที่ใช้
1. บีกเกอร์ขนาด 250 cm3 2 ใบ
2. สารละลายกรดซัลฟิวริก 200 cm3
3. สายไฟพร้อมแจ็คและคลิปปากจระเข้ 1 ชุด
4. โวลต์มิเตอร์ 2 เครื่อง
5. กระดาษทราย 1 แผ่น
6. แผ่นทองแดง ขนาด 2 cm x 7 cm 2 แผ่น
7. แผ่นสังกะสี ขนาด 2 cm x 7 cm 2 แผ่น
8. น้ำทะเล 1 ลิตร
2. วิธีดำเนินการ
1. ใช้กระดาษทรายขัดแผ่นทองแดงและแผ่นสังกะสีให้สะอาด
2. บีกเกอร์ที่ 1 เทกรดซัลฟิวริกลงในบีกเกอร์ 100 cm3 จุ่มปลายด้านหนึ่งของแผ่นโลหะทั้งสอง ลงในบีกเกอร์ ส่วนปลายอีกด้านพาดกับปากบีกเกอร์
3. ต่อสายไฟทั้งสองเส้นเข้ากับปลายโลหะที่โผล่พ้นบีกเกอร์ขึ้นมา ส่วนอีกปลายหนึ่งของสายไฟเสียบติดกับโวลต์มิเตอร์ สังเกตการเบนของเข็มของโวลต์มิเตอร์
4. ทำการทดลองเหมือนข้อ 2 และ 3โดยใช้น้ำทะเลแทนกรดซัลฟิวริก
บทที่ 4
ผลการดำเนินการ
ตารางบันทึกผลการทดลอง
สารละลายอิเล็กโทรไลต์ การเปลี่ยนแปลงของเข็มของโวลต์มิเตอร์
เข็มเบน เข็มไม่เบน
1. สารละลายกรดซัลฟิวริก
2. น้ำทะเล
บทที่ 5
สรุปผลการดำเนินการ/อภิปรายผลการดำเนินการ
อภิปรายผลการดำเนินการ
ในการทดลองเรื่องเซลล์กัลป์วานิกส์จากน้ำทะเล เมื่อใช้เมื่อใช้น้ำทะเลเป็นสารละลายอิเล็กโทรไลต์ แทนสารละลายกรดซัลฟิวริกของเซลล์กัลวานิกส์ ปรากฏว่ามีกระแสไฟฟ้าเกิดขึ้น ซึ่งสังเกตจากการเบนของเข็มของโวลต์มิเตอร์
สรุปผลการดำเนินการ
น้ำทะเลมีผลต่อการเกิดปฏิกิริยาเคมีของเซลล์กัลวานิกส์ ซึ่งทำให้เกิดกระแสไฟฟ้า ปฏิกิริยาเคมีที่เกิดขณะเซลล์กัลป์วานิกส์ทำงานโดยใช้น้ำทะเลแทนสารละลายกรดซัลฟิวริก เพื่อประหยัดและปลอดภัย
ประโยชน์ที่ได้รับจากโครงงาน
1. ประหยัดและปลอดภัย
2. เกิดทักษะกระบวนการทางด้านวิทยาศาสตร์
ข้อเสนอแนะ
อยากให้ทำการทดลองต่อไป โดยอยากให้ทำการทดลองโดยใช้สารอื่นทดลองแทนน้ำทะเล
วันศุกร์ที่ 10 กันยายน พ.ศ. 2553
วันพฤหัสบดีที่ 9 กันยายน พ.ศ. 2553
การทำกล้วยฉาบ
กล้วยฉาบ
ส่วนผสม
1. กล้วยหักมุก 1 หวี (แบบดิบ)
2. น้ำมันสำหรับทอด 2 ถ้วยตวง
3. น้ำตาลทราย 2 1/2 ถ้วยตวง
4. น้ำ 3 ช้อนโต๊ะ
5. เกลือป่น 1/2 ช้อนชา
วิธีทำ
1. ตั้งกระทะให้ร้อน เติมน้ำมันทั้งหมดลงในกระทะ พอให้ น้ำมันร้อน จึงปอกกล้วยแล้วฝาน เป็นแผ่นบาง ๆ ตาม ความยาวของผล ใส่ลงทอดในน้ำมันทันที หมั่นคนและ พลิกชิ้นกล้วยกลับให้ถูกความร้อนสม่ำเสมอกัน จนกรอบ ตักขึ้นให้สะเด็ดน้ำมัน ทำให้หมดหวี
2. เทน้ำมันออกจากกระทำให้หมด ใส่น้ำตาล น้ำ และเกลือ ลงในกระทะนั้น ต้มจนน้ำตาลละลาย และเคี่ยวต่ออีกครู่ จนน้ำตาลเหนียวเป็นเส้น เมื่อใช้ปลายมีดจุ่มลงในน้ำเชื่อม แล้วยกมีดขึ้น น้ำเชื่อมจะยืดตามมีดเป็นเส้น
3. ใส่กล้วยที่ทอดไว้ ลงในกระทะน้ำเชื่อมทันทีที่ยกลงจากเตา เคล้าเบา ๆ ให้น้ำเชื่อมจับชิ้นกล้วยให้ทั่วถึง
4. พักไว้จนเย็นสนิทและน้ำเชื่อมแห้งสนิทด้วย จึงเก็บใส่ ภาชนะที่ปิดได้สนิท
ลองทำดูนะคะ (อาจจะใช้กล้วยดิบอื่นๆก็ได้ ไม่จำเป็นต้องเป็นกล้วยหักมุก)
ส่วนผสม
1. กล้วยหักมุก 1 หวี (แบบดิบ)
2. น้ำมันสำหรับทอด 2 ถ้วยตวง
3. น้ำตาลทราย 2 1/2 ถ้วยตวง
4. น้ำ 3 ช้อนโต๊ะ
5. เกลือป่น 1/2 ช้อนชา
วิธีทำ
1. ตั้งกระทะให้ร้อน เติมน้ำมันทั้งหมดลงในกระทะ พอให้ น้ำมันร้อน จึงปอกกล้วยแล้วฝาน เป็นแผ่นบาง ๆ ตาม ความยาวของผล ใส่ลงทอดในน้ำมันทันที หมั่นคนและ พลิกชิ้นกล้วยกลับให้ถูกความร้อนสม่ำเสมอกัน จนกรอบ ตักขึ้นให้สะเด็ดน้ำมัน ทำให้หมดหวี
2. เทน้ำมันออกจากกระทำให้หมด ใส่น้ำตาล น้ำ และเกลือ ลงในกระทะนั้น ต้มจนน้ำตาลละลาย และเคี่ยวต่ออีกครู่ จนน้ำตาลเหนียวเป็นเส้น เมื่อใช้ปลายมีดจุ่มลงในน้ำเชื่อม แล้วยกมีดขึ้น น้ำเชื่อมจะยืดตามมีดเป็นเส้น
3. ใส่กล้วยที่ทอดไว้ ลงในกระทะน้ำเชื่อมทันทีที่ยกลงจากเตา เคล้าเบา ๆ ให้น้ำเชื่อมจับชิ้นกล้วยให้ทั่วถึง
4. พักไว้จนเย็นสนิทและน้ำเชื่อมแห้งสนิทด้วย จึงเก็บใส่ ภาชนะที่ปิดได้สนิท
ลองทำดูนะคะ (อาจจะใช้กล้วยดิบอื่นๆก็ได้ ไม่จำเป็นต้องเป็นกล้วยหักมุก)
วันเสาร์ที่ 4 กันยายน พ.ศ. 2553
วันศุกร์ที่ 3 กันยายน พ.ศ. 2553
รายงานการศึกษาทางไกล
ความหมาย ความเป็นมา และหลักสำคัญของการศึกษาทางไกล
ความหมายของการศึกษาทางไกล
ความหมายได้มีผู้ให้คำนิยามของการเรียนทางไกล (Distance learning) หรือการศึกษาทางไกล (distance education) ไว้หลายท่านด้วยกันดังนี้
เบิร์ก และฟรีวิน (E.R.Burge and CC Frewin ,1985 : 4515) ได้ให้ความหมายของการ เรียนการสอนทางไกลว่า หมายถึงกิจกรรมการเรียนที่สถาบันการศึกษาได้จัดทำเพื่อให้ผู้เรียนซึ่งไม่ได้เลือกเข้าเรียนหรือไม่สามารถจะเข้าเรียนในชั้นเรียนที่มีการสอนตามปกติได้กิจกรรมการเรียนที่จัด ให้มีนี้จะมีการผสมผสานวิธีการที่สัมพันธ์กับทรัพยากร การกำหนดให้มีระบบการจัดส่งสื่อการสอน และมีการวางแผนการดำเนินการ รูปแบบของทรัพยากรประกอบด้วย เอกสาร สิ่งพิมพ์ โสตทัศนูปกรณ์ สื่อคอมพิวเตอร์ ซึ่งผู้เรียนอาจเลือกใช้สื่อเฉพาะตนหรือเฉพาะกลุ่มได้ ส่วนระบบการจัด ส่งสื่อนั้นก็มีการใช้เทคโนโลยีนานาชนิด สำหรับระบบบริหารก็มีการจัดตั้งสถาบันการศึกษาทางไกล ขึ้น เพื่อรับผิดชอบจัดกิจกรรมการเรียนการสอน
โฮล์มเบิร์ก (Borje Holmber, 1989: 127 อ้างถึงใน ทิพย์เกสร บุญอำไพ. 2540 : 38) ได้ ให้ความหมายของการศึกษาทางไกล ว่าหมายถึงการศึกษาที่ผู้เรียนและผู้สอนไม่ได้มาเรียนหรือ สอนกันซึ่ง ๆ หน้า แต่เป็นการจัดโดยใช้ระบบการสื่อสารแบบสองทาง ถึงแม้ว่าผู้เรียนและผู้สอนจะไม่อยู่ในห้องเดียวกันก็ตาม การเรียนการสอนทางไกลเป็นวิธีการสอนอันเนื่องมาจากการแยกอยู่ห่างกันของผู้เรียนและผู้สอน การปฏิสัมพันธ์ดำเนินการผ่านสื่อสิ่งพิมพ์ คอมพิวเตอร์ และเครื่องมืออิเล็กทรอนิกส์ต่าง ๆ
ไกรมส์ (Grimes) ได้ให้นิยามการศึกษาทางไกลว่า คือ "แนวทางทุก ๆ แนวทางของการเรียนรู้จากหลักสูตรการเรียนการสอนปกติที่เกิดขึ้น แต่ในกระบวนการเรียนรู้นี้ครูผู้สอนและนักเรียนอยู่คนละสถานที่กัน " นอกจากนี้ ไกรมส์ ยังได้อธิบายถึงเรื่อง การใช้เทคโนโลยีในการเรียนการสอน ผ่านสื่อทางไกล โดยเขาได้ให้นิยามที่กระชัย เข้าใจง่ายสำหรับการศึกษาทางไกลสมัยใหม่ไว้ว่าคือ "การนำบทเรียนไปสู่นักเรียนโดยใช้เทคโนโลยีมากกว่าที่จะใช้เทคโนโลยีนำนักเรียนเข้าสู่บทเรียน" และไกรมส์ยังได้ถอดความของคีแกน (Keehan) ซี่งได้กำหนดลักษณะเฉพาะของการเรียนการสอนทางไกลไว้ ดังนี้คือ
1. เป็นกระบวนการเรียนการสอนที่ครูและนักเรียนอยู่ต่างถานที่กัน
2. สถาบันการศึกษาเป็นผู้กำหนดขอบเขตและวิธีการในการบริหารจัดการ (รวมทั้งการประเมินผลการเรียนของนักเรียน)
3. ใช้กระบวนการทางสื่อในการนำเสนอเนื้อหาหลักสูตร และเป็นตัวประสานระหว่างครูกับนักเรียน
4. สามารถติดต่อกันได้ทั้งระหว่างครูกับนักเรียนและหรือสถาบันการศึกษากับนักเรียน
วิจิตร ศรีสอ้าน (2529 : 5 - 7) ได้ให้ความหมายของการเรียนการสอนทางไกลว่าหมายถึง ระบบการเรียนการสอนที่ไม่มีชั้นเรียน แต่อาศัยสื่อประสมอันได้แก่ สื่อทางไปรษณีย์ วิทยุกระจาย เสียง วิทยุโทรทัศน์ และการสอนเสริม รวมทั้งศูนย์บริการทางการศึกษา โดยมุ่งให้ผู้เรียนเรียนได้ ด้วยตนเองอยู่กับบ้าน ไม่ต้องมาเข้าชั้นเรียนตามปกติ การเรียนการสอนทางไกลเป็นการสอนที่ผู้ เรียนและผู้สอนจะอยู่ไกลกัน แต่สามารถมีกิจกรรมการเรียนการสอนร่วมกันได้ โดยอาศัยสื่อประสม เป็นสื่อการสอน โดยผู้เรียนผู้สอนมีโอกาสพบหน้ากันอยู่บ้าง ณ ศูนย์บริการ การศึกษาเท่าที่จำเป็น การเรียนรู้ส่วนใหญ่เกิดขึ้นจากสื่อประสมที่ผู้เรียนใช้เรียนด้วยตนเองในเวลาและสถานที่สะดวก
สนอง ฉินนานนท์ (2537 : 17 อ้างถึงใน ทิพย์เกสร บุญอำไพ. 2540 : 7) ได้ให้ความหมาย ของการศึกษาทางไกลว่าเป็นกิจกรรมการเรียนสำหรับผู้ที่ไม่สามารถเข้าเรียนในชั้นเรียนตามปกติได้ ซึ่งอาจจะเป็นเพราะเหตุผลทางภูมิศาสตร์ หรือเหตุผลทางเศรษฐกิจก็ตาม การเรียนการสอนลักษณะ นี้ผู้สอนกับผู้เรียนแยกห่างกัน แต่ก็มีความสัมพันธ์โดยผ่านสื่อการเรียนการสอน การเรียนโดยใช้สื่อการเรียนทางไกลนั้น ใช้สื่อในลักษณะสื่อประสม (Multimedia) ได้แก่ สื่อเอกสาร สื่อโสตทัศน์ และ สื่ออิเล็กทรอนิกส์ เช่นรายการวิทยุ โทรทัศน์ เทปเสียง วีดิทัศน์ และคอมพิวเตอร์
โดยสรุป แล้วการศึกษาทางไกล หมายถึง กิจกรรมการเรียนการสอนที่จัดขึ้นโดยที่ผู้เรียนไม่ จำเป็นต้องเข้าชั้นเรียนปกติ เป็นการเรียนการสอนแบบไม่มีชั้นเรียน แต่อาศัยสื่อต่าง ๆ ที่เรียกว่าสื่อ ประสม ได้แก่ เอกสาร สื่อโสตทัศน์ และสื่ออิเล็กทรอนิกส์ รวมไปถึงสื่อบุคคลช่วยในการจัดการ เรียนการสอน
การศึกษาทางไกลเป็นวิธีการจัดการศึกษารูปแบบหนึ่งที่ใช้สื่อถ่ายทอดเนื้อหาวิชา องค์ความรู้หรือมวลประสบการณ์ต่างๆ โดยที่ผู้เรียนและผู้สอนไม่ต้องมาพบกัน หรือถ้าจำเป็นอาจมีการพบปะกันเป็นโอกาสหรือครั้งคราว โดยมีจุดมุ่งหมายของการพบปะ เพื่อทบทวนหรือซักถามประเด็นปัญหาหรือข้อสงสัยในสิ่งที่เรียนด้วนตนเองไม่เข้าใจ รวมถึงอาจจะเป็นการสรุปหรือทักษะที่สำคัญจากเนื้อหมาวิชานั้นการเรียนรู้ของผู้เรียนจะเน้นการเรียนรู้ด้วยตนเองเป็นสำคัญ ผู้เรียนสามารถเรียนอยู่ที่บ้านหรือที่ทำงาน โดยผู้เรียนจะต้องบริหารการเรียนด้วยตนเอง ภายในเวลาที่สถาบันกำหนด
ความเป็นมาของการศึกษาทางไกล
ความเป็นมาของการศึกษาทางไกลที่จะกล่าวถึงนี้สามารถแยกออกได้ คือในต่างประเทศและ
ในประเทศไทยเพื่อจะได้เข้าใจได้ง่ายยิ่งขึ้น
ในต่างประเทศ
การศึกษาทางไกลในต่างประเทศเริ่มต้นจากการเรียนการสอนทางไปรษณีย์สำหรับผู้ที่อยู่ห่างไกล โดยใช้สื่อเอกสารเกือบทั้งสิ้น โดยใช้ครั้งแรกที่ประเทศอังกฤษ
ในปี คศ.1836 ได้ขยายมาสู่อเมริกาและประเทศอื่นๆในยุโรป
ในปี คศ. 1920 ได้มีการพัฒนาโดยใช้สื่อวิทยุกระจายเสียงเพิ่มเติม
เมื่อเทคโนโลยีสารสนเทศได้มีการพัฒนาและนำมาใช้ควบคู่กับคอมพิวเตอร์ในลักษณะต่างๆ เช่น Internat E-mail เป็นต้น
ในปี คศ. 1961 ประเทศเยอรมันตะวันตกได้ตั้งวิทยาลัยวิทยุโทรทัศน์เพื่อช่วยคนงานให้มีโอกาสศึกษาในระดับที่สูงขึ้น
ในปี คศ. 1964 สหภาพโซเวียตจัดตั้งวิทยาลัยทางไปรษณีย์
ในปี คศ. 1966 ฝรั่งเศสจัดตั้งวิทยาลัยวิทยุกระจายเสียงและโปรแลนด์ได้จัดตั้งวิทยาลัยเทคนิคทางวิทยุโทรทัศน์
การศึกษาทางไกลในประเทศต่างๆ ส่วนใหญ่จะมีจุดมุ่งหมายเพื่อขยายโอกาส ในการเรียนรู้สำหรับประชาชนให้ไปอย่างกว้างขวาง และนำไปใช้จัดการศึกษาในหลายระดับ
ในประเทศไทย
กระทรวงศึกษาธิการได้เริ่มจัดรายการโทรทัศน์เพื่อการศึกษาเป็นครั้งแรกในปี พ.ศ.2500 ทางสถานีโทรทัศน์ไทยทีวี ช่อง 4 (ช่อง 9 อ.ส.ม.ท. ในปัจจุบัน) และทางสถานีวิทยุโทรทัศน์กองทัพบกช่อง 5 และหน่วยงานที่ได้ดำเนินการผลิตพัฒนา และเผยแพร่รายการโทรทัศน์เพื่อการศึกษาอย่างต่อเนื่อง คือ ศูนย์เทคโนโลยีทางการศึกษา กระทรวงศึกษาธิการ ซึ่งได้จัดผลิตรายการส่งเสริมความรู้ด้านวิชาการ ศิลปวัฒนธรรม อาชีพ ฯลฯ สำหรับนักเรียน นักศึกษาและประชาชนทั่วไป
พ.ศ. 2518 ได้จัดการศึกษาทางไกลอย่างเป็นทางการ ซึ่งสามารถแยกพัฒนาการเป็น 2 ระดับคือ
1.การศึกษาทางไกลในระดับต่ำกว่าอุดมศึกษา
ในปี พ.ศ. 2518 กองการศึกษาผู้ใหญ่ กรมสามัญศึกษา ได้ร่วมกับศูนย์เทคโนโลยีทางการศึกษา กรมวิชาการ ทดลองการศึกษาทางวิทยุและทางไปรษณีย์ โดยใช้เอกสารและวิทยุกระจายเสียงเผยแพร่รายการในหลักสูตรรวมถึงรายการเพื่อส่งเสริมความรู้ต่างๆ
ในปี พ.ศ. 2519 ได้ทดลองในหลักสูตรการศึกษาผุ้ใหญ่แบบเบ็ดเสร็จ ระดับ 5 ทางวิทยุและทางไปรษณีย์
ในปี พ.ศ. 2530 กรมการศึกษานอกโรงเรียนได้พัฒนาหลักสูตรการศึกษานอกโรงเรียนสายสามัญขึ้นโดยแบ่งเป็นระดับประถมศึกษา มัธยมศึกษาตอนต้นและมัธยมศึกษาตอนปลาย
ในปี พ.ศ. 2538 ได้มีการจัดทำสื่อสิ่งพิมพ์ในลักษณะชุดวิชา พร้อมรายการวิทยุและโทรทัศน์เพื่อศึกษาในรูปแบบของสื่อประสมบูรณาการเผยแพร่โดยใช้ระบบสัญญาณโทรทัศน์ผ่านดาวเทียมซึ่งจัดออกอากาศเผยแพร่รายการทางสถานีวิทยุกระจายเสียงแห่งประเทศไทยเพื่อการศึกษาและสถานีวิทยุโทรทัศน์เพื่อการศึกษา กระทรวงศึกษาธิการ ภายใต้โครงการจัดการศึกษาทางไกลของกรมการศึกษานอกโรงเรียน แต่ดำเนินงานที่ผ่านมายังมีอาจให้บริการได้อย่างกว้างขวาง ทั่วทุกกลุ่มเป้าหมาย
2.การศึกษาทางไกลระดับอุดมศึกษา
ในปี พ.ศ. 2477 ได้มีการจัดตั้งมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์และการเมือง โดยรับผู้เรียนแบบไม่จำกัดจำนวนในลักษณะตลาดวิชา ใช้การสอนแบบชั้นเรียนเป็นหลักแต่ก็อนุโลมให้ผู้อยู่ห่างไกลหรือติดภารกิจไม่ต้องเข้าชั้นเรียนสามารถศึกษาด้วยตนเองจากเอกสารคำสั่ง เมื่อถึงกำหนดก็มาสอบ
ในปี พ.ศ. 2514 หมาวิทยาลัยคำแหงมีการจัดชั้นเรียนสำหรับผู้เรียนที่สะดวกจะมาเข้าชั้นเรียน ส่วนที่ไม่สะดวกมาเข้าชั้นเรียนสามารถศึกษาจากเอกสารตำราที่อยู่บ้านแล้วมาสอบตามเวลาที่กำหนด โดยทางมหาวิทยาลัยมีการจัดทำรายการวิทยุและรายการโทรทัศน์เสริมการเรียนอีกทางหนึ่ง
ในปี พ.ศ.2521 มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช จัดรายการโทรทัศน์เพื่อการศึกษาขึ้นในรูปแบบการจัดการศึกษาทางไกลระดับอุดมศึกษา
ในปี พ.ศ.2527 กระทรวงศึกษาธิการ อนุมัติให้ศูนย์เทคโนโลยีทางการศึกษาจัดตั้งศูนย์ผลิตรายการวิดีโอเทปขึ้น เพื่อให้ผลิตรายการโทรทัศน์ และวิดีโอเทปเพื่อการศึกษาสำหรับกลุ่มเป้าหมายทั้งใน และนอกโรงเรียน รวมทั้งให้ บริการด้านการผลิตรายการแก่หน่วยงานต่างๆ ภายในกระทรวงศึกษาธิการด้วย
พ.ศ. 2529 ศูนย์เทคโนโลยีทางการศึกษาได้รับมอบหมายจากกระทรวงศึกษาธิการให้เป็นผู้ประสานงานจัดทำร่างแผนแม่บทโครงการพัฒนาโทรทัศน์ และวิดีโอเทปเพื่อการศึกษา (ศูนย์ผลิตรายการโทรทัศน์ และวิดีโอเทปที่รังสิต)
พ.ศ.2530 ศูนย์เทคโนโลยีทางการศึกษาได้รับมอบหมายให้เป็นผู้ประสานงานร่วมกับหน่วยงานต่างๆ ภายในกระทรวงศึกษาธิการจัด และผลิตรายการโทรทัศน์เพื่อการศึกษาออกอากาศทางสถานีวิทยุโทรทัศน์แห่งประเทศไทยช่อง 11
พ.ศ.2537 กระทรวงศึกษาธิการได้พัฒนารูปแบบการจัดการศึกษา โดยใช้เทคโนโลยีการสื่อสารผ่านดาวเทียม ในการจัดการศึกษาทางไกล โดยแพร่ภาพออกอากาศทางสถานีวิทยุโทรทัศน์เพื่อการศึกษากระทรวงศึกษาธิการ (ETV) แพร่ภาพด้วยสัญญาณในระบบดิจิตอลในย่านความถี่
Ku-Band
หลักสำคัญของการศึกษาทางไกล
การเรียนการสอนทางไกลสามารถจำแนกลักษณะสำคัญของการศึกษาทางไกลไว้ได้ ดังนี้
1. ผู้เรียนและผู้สอนอยู่ห่างจากกัน การเรียนการสอนทางไกล เป็นรูปแบบการสอนที่ผู้สอน และผู้เรียนอยู่ห่างไกลกัน มีโอกาสพบปะหรือได้รับความรู้จากผู้สอนโดยตรงต่อหน้าน้อยกว่าการ ศึกษาตามปกติ การติดต่อระหว่างผู้เรียนและผู้สอนนอกจากจะกระทำโดยผ่านสื่อต่าง ๆ แล้ว การ ติดต่อสื่อสารโดยตรงจะเป็นไปในรูปของการเขียนจดหมายโต้ตอบกัน มากกว่าการพบกันเฉพาะหน้า
2. เน้นผู้เรียนเป็นศูนย์กลางการเรียน ในระบบการเรียนการสอนทางไกลผู้เรียนจะมีอิสระใน การเลือกเรียนวิชาและเลือกเวลาเรียนตามที่ตนเห็นสมควร สามารถกำหนดสถานที่เรียนของตนเอง พร้อมทั้งกำหนดวิชาการเรียนและควบคุมการเรียนด้วยตนเอง วิธีการเรียนรู้ก็จะเป็นการเรียนรู้ด้วยตน เอง จากสื่อที่สถาบันการศึกษาจัดบริการรวมทั้งสื่อเสริมในลักษณะอื่น ๆ ที่ผู้เรียนจะหาได้เอง
3. ใช้สื่อและเทคโนโลยีเป็นเครื่องมือในการบริหารและบริการ สื่อทางเทคโนโลยีการศึกษา ที่ใช้ส่วนใหญ่จะใช้สื่อสิ่งพิมพ์เป็นสื่อหลัก โดยจัดส่งให้ผู้เรียนทางไปรษณีย์ สื่อเสริมจัดไว้ในหลายรูปแบบมีทั้งรายการวิทยุกระจายเสียง รายการวิทยุโทรทัศน์ เทปเสียงประกอบชุดวิชา และวิดีทัศน์ประกอบชุดวิชา สิ่งใดที่มิได้จัดส่งแก้ผู้เรียนโดยตรง สถาบันการศึกษาจะจัดไว้ตามศูนย์การศึกษาต่าง ๆ เพื่อให้ผู้เรียนได้มีโอกาสรับฟัง หรือรับชม โดยอาจให้บริการยืมได้ นอกจากสื่อดังกล่าวแล้ว สถาบันการศึกษาที่เปิดสอนทางไกลยังมีสื่อเสริมที่สำคัญอีก เช่น สื่ออิเล็กทรอนิกส์ สื่อ คอมพิวเตอร์ และสื่อการสอนทางโทรทัศน์ฯ เป็นต้น
4. ดำเนินงานและควบคุมคุณภาพในรูปองค์กรคณะบุคคล การศึกษาทางไกลได้รับการยอม รับว่าเป็นส่วนหนึ่งของระบบและวิธีการจัดการศึกษาในประเทศต่าง ๆ มากยิ่งขึ้น เพราะสามารถ จัดการเรียนการสอน ตลอดจนบริการการศึกษาให้แก่ผู้เรียนได้มากกว่าและประหยัดกว่าทั้งนี้เพราะ ไม่มีข้อจำกัดในเรื่องสัดส่วนครูต่อนักเรียนอาคารสถานที่ ในส่วนคุณภาพนั้นผู้รับผิดชอบจัดการศึกษาทุกคนต่างมุ่งหวังให้การศึกษาที่ตนจัดบรรละจุดมุ่งหมาย และมาตรฐานที่รัฐตั้งไว้ การศึกษาทางไกลได้มีการสร้างระบบและองค์กรขึ้นรับผิดชอบในการพัฒนาหลักสูตตและผลิตเอกสารการ สอน ตลอดจนสื่อการสอนประเภทต่าง ๆ รวมทั้งการออกข้อสอบ ลักษณะเช่นนี้ อาจกล่าวได้ว่าการศึกษาทางไกลมีระบบการควบคุมคุณภาพของการศึกษาอย่างเข้มงวดและเคร่งครัด ความรับผิดชอบในการจัดการศึกษามิได้อยู่ภายใต้บุคคลใดบุคคลหนึ่ง หรือองค์กรใดองค์กรหนึ่งโดยเฉพาะแต่เน้นการจัดการศึกษาที่มีการดำเนินงานในรุปองค์กรคณะบุคคล ที่สามารถตรวจสอบได้ทุกขั้นตอน
5. มีการจัดการศึกษาอย่างมีระบบ กระบวนการเรียนการสอนทางไกลได้รับการออกแบบขึ้น อย่างเป็นระบบ เริ่มจากการพัฒนาหลักสูตรและผลิตเอกสาร ตลอดจนสื่อการสอนจากผู้เชี่ยวชาญ ทั้งในด้านเนื้อหา ด้านสื่อ และด้านการวัดและประเมินผล มีการดำเนินงานและผลิตผลงานที่เป็น ระบบ มีการควบคุมมาตรฐานและคุณค่าอย่างแน่นอนชัดเจน จากนั้นจะส่งต่อไปให้ผู้เรียน ส่วนการ ติดต่อที่มาจากผู้เรียนนั้น ผู้เรียนจะจัดส่งกิจกรรมมายังสถานศึกษา ซึ่งหน่วยงานในสถานศึกษาจะ จัดส่งกิจกรรมของผู้เรียนไปตามระบบถึงผู้สอน เพื่อให้ผู้สอนตรวจตามมาตรฐานและคุณภาพการ ศึกษาที่ได้กำหนดไว้
6. มีการใช้สื่อประเภทต่าง ๆ หลากหลาย แทนสื่อบุคคล สื่อที่ใช้แตกต่างกันไปตามเนื้อหา การสอนและการจัดการสอนเป็นการจัดบริการให้แก่ผู้เรียนจำนวนมากในเวลาเดียวกัน ดังนั้นการดำเนินงานในด้านการเตรียมและจัดส่งสื่อการศึกษาจึงต้องจัดทำในรูปของกิจกรรมทางอุตสาหกรรม คือมีการผลิตเป็นจำนวนมาก มีการนำเอาเทคนิคและวิธีการผลิตที่จัดเป็นระบบ และมีการดำเนินงานเป็นขั้นตอนตามระบบอุตสาหกรรม
7. เน้นด้านการผลิตและจัดส่งสื่อการสอนมากกว่าการทำการสอนโดยตรง บทบาทของ สถาบันการสอนในระบบทางไกลจะแตกต่างจากสถาบันที่สอนในระบบเปิดโดยจะเปลี่ยนจากการสอนเป็นรายบุคคลมากเป็นการสอนคนจำนวนมาก สถาบันจะรับผิดชอบด้านการผลิตและจัดส่ง เอกสารและสื่อการศึกษา การประเมินผลการเรียนของผู้เรียน และการจัดสอนเสริมในศูนย์ภูมิภาค
8. มีการจัดตั้งหน่วยงานและโครงสร้างขึ้นเพื่อสนับสนุนการสอนและการบริการผู้เรียน แม้ผู้เรียนและผู้สอนจะอยู่แยกห่างจากกันก็ตาม แต่ผู้เรียนก็จะได้รับการสนับสนุนจากผู้สอนในลักษณะ ต่าง ๆ มีการจัดตั้งศูนย์การศึกษาประจำท้องถิ่นหรือประจำภาคขึ้นเพื่อสนับสนุนให้บริการการศึกษา
9. ใช้การสื่อสารติดต่อแบบสองทางในการจัดการศึกษาทางไกล แม้การจัดการสอนจะเป็น ไปโดยใช้สื่อการสอนประเภทต่าง ๆ แทนการสอนด้วยครูโดยตรง แต่การติดต่อระหว่างผู้สอนกับผู้เรียนก็เป็นไปในรูปการติดต่อสองทาง ซึ่งสถาบันการศึกษาและผู้สอนจะติดต่อกับผู้เรียนโดย จดหมายและโทรศัพท์ ส่วนผู้เรียนก็อาจจะติดต่อกับผู้สอนและสถาบันการศึกษาด้วยวิธีการเดียวกัน นอกจากนี้ทางสถาบันกาารศึกษายังจัดให้มีการติดต่อกับผู้เรียนด้วยการจัดสอนเสริม ซึ่งส่งผู้สอนไปสอนนักศึกษาตามศูนย์บริการการศึกษาประจำจังหวัดตามช่วงเวลาและวิชาที่สถาบันกำหนด
รูปแบบการจัดการเรียนการสอน
1 การศึกษาทางไกลในประเทศไทย
การศึกษาทางไกลนั้นเน้นการศึกษาด้วยตนเองผู้เรียนจะเลือกเรียน และเลือกใช้สื่อที่เหมาะสมกับการ เรียนรู้ของตนเอง ระบบการจัดการศึกษาทางไกล จึงจะต้องมีการจัดการที่เป็นระบบ มีขั้นตอนที่ชัดเจนและมี คุณภาพเป็นที่แน่ใจได้ว่าผู้เรียนจะเกิดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ตามมาตรฐาน ทางวิชาการเช่น เดียวกับการศึกษา ในรูปแบบอื่น ๆ อาจกล่าวได้ว่าการศึกษาทางไกลมีพัฒนาการมาอย่างยาวนานตั้งแต่ พ.ศ.2379 ที่เริ่มมีการให้ปริญญาภายนอกของมหาวิทยาลัยลอนดอน ซึ่งต่อมาได้มีการพัฒนาเป็นการสอนทางไปรษณีย์และได้พัฒนา มาใช้สื่อประเภทต่าง ๆ ได้แก่วิทยุกระจายเสียง วิทยุโทรทัศน์ ต่อเมื่อมีการจัดตั้งมหาวิทยาลัยเปิดขึ้นในประเทศอังกฤษซึ่งใช้สื่อประสมแล้ว การศึกษาทางไกลก็ได้ขยายแนวความคิดกระจายออกไปยังภูมิภาคต่างๆ ทั่วโลก
บทบาทของการศึกษาทางไกลในประเทศไทย
การศึกษาทางไกลเข้ามามีบทบาทในการจัดการศึกษาในประเทศไทย ในราวปี พ.ศ. 2518 โดยแบ่งลักษณะของการพัฒนาการศึกษาออกเป็น 2 ระดับ คือ
1) การศึกษาทางไกลระดับต่ำกว่าอุดมศึกษา ประเทศไทยได้เริ่มนำการศึกษาทางวิทยุ และไปรษณีย์เข้ามาดำเนินการในปี พ.ศ. 2518 โดยกองการศึกษาผู้ใหญ่ กรมสามัญศึกษา ร่วมกับศูนย์เทคโนโลยีทางการศึกษา กรมวิชาการ (ซึ่งต่อมาได้รวมหน่วยงานเข้าด้วยกัน และจัดตั้งเป็นกรมการศึกษานอกโรงเรียน)
ได้เสนอโครงการวิทยุและโทรทัศน์เพื่อการศึกษานอกโรงเรียนขึ้น ในการดำเนินงานนั้นมีการทดลองใช้วิทยุกระจายเสียงเป็นส่วนหนึ่งของการเรียนการสอน (กรมการศึกษานอกโรงเรียน 2519,4) ลักษณะของรายการเป็นรายการทั่วไปและรายการการศึกษา โดยรายการทั่วไปจัดให้กับกลุ่มผู้รับชม รับฟังทั้งในเมืองและชนบท ให้บริการความรู้ทั่วไป และส่งเสริมความคิดใหม่ ๆ ในเรื่องการเกษตร ธรรมจริยา ภูมิปัญญา อนามัยและการวางแผนครอบครัว ในส่วนของรายการการศึกษาจัดให้มีหลักสูตรที่แน่นอน มีระบบการลงทะเบียน มีการพบกลุ่มกับวิทยากรประจำกลุ่ม ในระหว่างปี พ.ศ. 2520-2524 ได้ทดลองจัดการศึกษาผู้ใหญ่แบบเบ็ดเสร็จ ระดับที่ 3-4 และกลุ่มสนใจ รูปแบบการจัดนั้นใช้สื่อ 3 ชนิด คือ คู่มือการเรียนรายการวิทยุ และการพบกลุ่มกับครูประจำกลุ่ม ในช่วงแรกใช้สถานีวิทยุกระจายเสียงของท้องถิ่นเป็นหลัก ต่อมาเมื่อกรมประชาสัมพันธ์ได้จัดตั้งวิทยุกระจายเสียงเพื่อการศึกษาขึ้น จึงได้ใช้สถานีวิทยุแห่งนี้กระจายเสียงรายการการศึกษาของโครงการดังกล่าว และในปี พ.ศ. 2519 ได้ทดลองหลักสูตรการศึกษาผู้ใหญ่แบบเบ็ดเสร็จ ระดับที่ 5 ทางวิทยุและไปรษณีย์ขึนด้วย จนถึงปี พ.ศ. 2530 กรมการศึกษานอกโรงเรียนได้พัฒนาหลักสูตรการศึกษาสายสามัญขึ้น แบ่งการศึกษาเป็นระดับประถมศึกษา มัธยมศึกษาตอนต้น และมัธยมศึกษาตอนปลาย โดยมีวิธีเรียน 3 วิธีเรียน คือ วิธีเรียนแบบชั้นเรียน วิธีเรียนด้วยตนเอง และวิธีเรียนทางไกล ซึ่งพัฒนามาจากการศึกษาสายสามัญและการศึกษาทางวิทยุและไปรษณีย์
ก่อนที่จะมีการพัฒนาการศึกษาทางไกลในรูปของโครงการการศึกษาทางวิทยุและไปรษณีย์นั้น ประมาณปี พ.ศ. 2507 ได้มีการทดลองใช้วิทยุโทรทัศน์เป็นสื่อในการจัดการเรียนการสอนในโรงเรียนประถมศึกษาแล้ว โดยจัดรายการโทรทัศน์เพื่อการศึกษาและรายการวิทยุขึ้น ให้บริการการศึกษาในระบบโรงเรียน และจัดรายการวิทยุเพื่อการศึกษาขึ้น ให้บริการความรู้แก่ประชาชนทั่วไป ออกอากาศที่สถานีวิทยุศึกษา(ปัจจุบันสังกัดศูนย์เทคโนโลยีทางการศึกษากรมการศึกษานอกโรงเรียน) การศึกษาทางไกลในระดับต่ำกว่าอุดมศึกษาดำเนินการโดยกรมการศึกษานอกโรงเรียนกระทรวงศึกษาธิการ ในปัจจุบันใช้หลักสูตรการศึกษานอกโรงเรียน ระดับประถมศึกษา พ.ศ. 2532 ระดับมัธยมศึกษาตอนต้น พ.ศ. 2530 และระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย พ.ศ. 2530 ของกระทรวงศึกษาธิการ จะมีสื่อหลักคือแบบเรียนหรือคู่มือเรียน ให้ผู้เรียนศึกษาและทำแบบฝึกหัดด้วยตนเองและใช้รายการวิทยุเสริมความรู้ในแต่ละหมวดวิชา ออกอากาศทางสถานีวิทยุกระจายเสียงแห่งประเทศไทย เครือข่าย 2 (สวศ. 2) นอกเหนือไปจากสื่อแบบเรียนและรายการวิทยุแล้ว ยังจัดให้ผู้เรียนได้พบกลุ่มซึ่งจะได้พบกับเพื่อนที่เรียนหลักสูตรเดียวกัน ทั้งต่างวัยและต่างอาชีพ เพื่อเป็นการเปิดโลกทัศน์ให้กว้างขวาง มีปฏิสัมพันธ์ทางสังคมที่ดี และจะเป็นประโยชน์ต่อการประกอบอาชีพและการศึกษาของตน ในการพบกลุ่มจะมีครูประจำกลุ่มช่วยเหลือให้คำแนะนำในการเรียน การทำกิจกรรมร่วมกัน การพบกลุ่มนี้จะพบกันสัปดาห์ละ 1 ครั้ง ครั้งละไม่น้อยกว่า 3 ชั่วโมง ผู้เรียนในระดับประถมศึกษาจะได้รับการยกเว้นค่าเล่าเรียน ผู้เรียนในระดับมัธยมศึกษาตอนต้น จะต้องเสียค่าใช้จ่ายเป็นค่าเล่าเรียน 995 บาท ตลอดหลักสูตร และในระดับมัธยมศึกษาตอนปลายก็จะเสียค่าเล่าเรียน 2,335 บาท ตลอดหลักสูตร ปัจจุบันมีผู้เรียนการศึกษาทางไกลของกรมการศึกษานอกโรงเรียน จำนวน 511,895 คน จำแนกเป็นระดับประถมศึกษาจำนวน 36,214 คน ระดับมัธยมศึกษาตอนต้นจำนวน 345,248 คน และระดับมัธยมศึกษาตอนปลายจำนวน 130,433 คน (กรมการศึกษานอกโรงเรียน, มปป., หน้า 1)
2) การศึกษาระดับทางไกลระดับอุดมศึกษา ประมาณปี พ.ศ. 2519 ทบวงมหาวิทยาลัยและมหาวิทยาลัยรามคำแหงได้มีการหารือเพื่อพัฒนาการสอนระบบเปิด โดยใช้สื่อการสอนต่าง ๆ ขึ้น และลดระบบการสอนแบบชั้นเรียนลง แต่ยังไม่สามารถดำเนินการได้อย่างจริงจัง ต่อมาทบวงมหาวิทยาลัยจึงดำริจะจัดตั้งมหาวิทยาลัยที่เปิดสอนโดยระบบทางไกลชั้นสูงในปี พ.ศ. 2519 โดยมีวัตถุประสงค์ที่จะให้การศึกษาและส่งเสริมวิชาการและวิชาชีพชั้นสูง เพื่อให้ประชาชนมีได้โอกาสเพิ่มพูนวิทยฐานะตามความต้องการของสังคม นอกจากนั้นได้ทำการวิจัย ค้นคว้าเพื่อความก้าวหน้าทางวิชาการและเพื่อประโยชน์ในการพัฒนาประเทศ เพื่อให้บริการทางวิชาการแก่สังคมในรูปการเผยแพร่ความรู้และเพื่อยกระดับคุณภาพของประชาชนโดยทั่วไป มหาวิทยาลัยเปิดแห่งนี้จะให้บริการทางการศึกษา ทั้งประเภทให้ปริญญาและประเภทไม่ให้ปริญญา ซึ่งในการบริการทั่วไป กลุ่มประชาชนเป้าหมาย ได้แก่ ผู้ที่มีงานทำแล้วและผู้ที่ยังไม่มีงานทำ ซึ่งประสงค์จะเพิ่มพูนความรู้ในระดับปริญญา รวมทั้งการให้การศึกษาแก่ประชาชนทั่วไปในรูปของการศึกษาต่อเนื่อง (มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช,2534: 37) โดยหลักการและวัตถุประสงค์ดังกล่าว รัฐบาลจึงได้จัดตั้งมหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราชขึ้น ดำเนินการจัดการศึกษาทางไกลสำหรับการศึกษาในระดับอุดมศึกษา
ปัญหาการจัดการศึกษาทางไกลในประเทศไทย
การจัดการศึกษาทางไกลในประเทศไทยนั้น แม้จะมีพัฒนาการมากกว่าทศวรรษแล้วก็ตาม ความที่เป็นประเทศกำลังพัฒนาซึ่งมีข้อจำกัดทางด้านเศรษฐกิจและสังคม ทำให้การจัดการศึกษาทางไกล ยังต้องประสบปัญหาหลัก ๆ อยู่ 3 ประการคือ
1) ปัญหาของผู้จัด ซึ่งส่วนใหญ่เป็นหน่วยงานของรัฐ การบริหารกิจกรรมจึงดำเนินไปตามระบบราชการที่มีขั้นตอนมากมาย ประกอบกับไม่สามารถจะดำเนินการออกอากาศได้เอง โดยเฉพาะรายการโทรทัศน์ ซึ่งดำเนินงานโดยหน่วยงานที่ใช้ระบบธุรกิจ ทำให้การประสานงานไม่สะดวกนัก ดังจะเห็นได้ว่าการผลิตสื่อไม่อยู่ในสภาพที่พร้อมจะใช้ การออกอากาศมีข้อจำกัดในด้านคุณภาพของรายการ รูปแบบรายการและเวลาออกอากาศ
2) ปัญหาของผู้รับบริการ การศึกษาทางไกลเป็นการศึกษาที่ให้อิสระแก่ผู้เรียนมากเป็นพิเศษ ผู้เรียนจะต้องมีวินัยในตนเอง สามารถวางแผนการทำงานและการเรียนไปพร้อม ๆ กันได้ ซึ่งเป็นเรื่องของอุปนิสัยการมีวินัยในตนเอง ฉะนั้น อาจจะทำให้เกิดปัญหาการออกกลางคันของนักศึกษาสูงกว่าปกติ นอกจากนั้นยังประสบปัญหาเกี่ยวกับการรับสื่อของนักศึกษา เช่น การไม่ได้รับเอกสารทางไปรษณีย์ การไม่มีเครื่องรับวิทยุและโทรทัศน์ รวมทั้งตารางออกอากาศอาจจะไม่ตรงกับเวลาว่างของนักศึกษาทางไกล ด้วยเหตุนี้ทำให้การจัดการศึกษาทางไกลต้องใช้สื่อประสม (Muti-media) เพื่อให้นักศึกษามีทางเลือกในการเรียนด้วยตนเองจากสื่อทางไกล
3) ปัญหาของตัวสื่อและเครื่องมือสื่อสาร การผลิตสื่อทางไกลไม่ว่าจะเป็นสื่อประเภทเอกสาร ตำราเรียน หรือสื่อประเภทเทคโนโลยีทางการศึกษา จำเป็นจะต้องใช้ระยะเวลาในการผลิตมาก ตลอดจนต้องลงทุนในด้านงบประมาณในราคาสูง จึงจะได้สื่อที่มีคุณภาพ และจะต้องมีการปรับปรุงบ่อยครั้งให้ทันต่อเหตุการณ์ ซึ่งหากไม่ดำเนินการเลยหรือใช้สื่อเก่า ๆ อยู่ตลอดเวลาก็จะล้าสมัยและไม่เกิดประโยชน์ต่อการเรียนรู้
เครื่องมือการสื่อสารที่จะแพร่กระจายสื่อ เช่น การออกอากาศทางวิทยุกระจายเสียงและโทรทัศน์ ก็เป็นสิ่งสำคัญที่จะนำความรู้ไปสู่กลุ่มเป้าหมายให้ทั่วถึง หากการออกอากาศไม่สามารถครอบคลุมหรือมีจุดบอดบางจุด ประชาชนในจุดนั้นก็จะขาดโอกาสที่จะได้รับความรู้ และข่าวสารข้อมูลที่จำเป็นให้เท่าเทียมกับกลุ่มอื่น ๆ ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อการพัฒนาประชาชนในจุดนั้น ๆ ด้วย ฉะนั้น ในการลงทุนด้านสื่อทั้งทรัพยากรเงิน วัสดุ และสติปัญญา จึงเป็นเรื่องสำคัญและมักจะเกิดปัญหาอยู่เสมอในด้านคุณภาพและขั้นตอนการผลิต
แนวโน้มการพัฒนาการศึกษาทางไกลในประเทศไทย
ปัจจุบันการศึกษาทางไกลได้รับการยอมรับอย่างกว้างขวาง ด้วยเหตุผลที่สำคัญหลายประการได้แก่
1) การศึกษาทางไกลให้โอกาสแก่ผู้ที่พลาดโอกาสทางการศึกษา เพราะหลักการของการจัดการศึกษาทางไกล ให้อิสระแก่ผู้เรียนในการเลือกเรียนได้ตามโอกาสที่เหมาะสม ไม่จำเป็นจะต้องเรียนตามข้อจำกัดในระบบโรงเรียน ฉะนั้น ผู้ที่พลาดโอกาสทางการศึกษาไม่ว่าจะด้วยสาเหตุใดก็ตาม สามารถเข้ารับการศึกษาในระบบทางไกลได้
\ 2) การศึกษาทางไกลเป็นการให้การศึกษาที่ถึงตัวผู้เรียนได้อย่างสะดวก เพราะการศึกษาทางไกล ใช้สื่อที่อยู่ในสังคมทุกชนิด เพื่อให้ผู้เรียนสามารถใช้สื่อที่มีอยู่รอบตัวในชีวิตในชีวิตประจำวันเป็นสื่อสำหรับการเรียนรู้ โดยเฉพาะสื่อทางสิ่งพิมพ์ วิทยุและโทรทัศน์ การเรียนจากการศึกษาทางไกล จึงมีความยึดหยุ่นและคล่องตัวสำหรับผู้เรียน ไม่ต้องกังวลเรื่องค่าใช้จ่ายในการเดินทางไปเรียน นอกจากนั้นผู้เรียนยังสามารถเรียนไปขณะที่ทำงานไปด้วย จึงไม่ต้องเป็นภาระที่จะต้องเดินทางไปศึกษาเล่าเรียน นอกเหนือจากไปทำงานปกติแล้ว
3) การศึกษาทางไกลเป็นเครื่องมือสำคัญในการพัฒนากำลังคน โดยเฉพาะการให้การศึกษาที่เป็นพื้นฐาน ในการประกอบอาชีพในลักษณะของการศึกษาก่อนประจำการ (Presevice training) ซึ่งสามารถดำเนินการได้อย่างรวดเร็ว ให้แก่กลุ่มเป้าหมายจำนวนมาก และการศึกษาทางไกลยังสามารถจัดในระหว่างประจำการ (In-sevice traning) ให้กับกำลังคนในวัยแรงงาน ลักษณะของการศึกษาต่อเนื่องเนื่องได้อีกประการหนึ่ง เพื่แให้ผู้เรียนได้รับความรู้และวิทยาการใหม่ ๆ ที่จะเป็นประโยชน์ต่อการประกอบอาชีพได้อีกด้วย นอกจากนี้ ยังส่งผลกระทบทางอ้อมให้แก่ผู้สนใจโดยทั่วไปที่รับฟังรายการของการศึกษาทางไกลก็ก็จะได้รับการศึกษา ตามอัธยาศัย ซึ่งจะเกิดประโยชน์ในการพัฒนาอาชีพและการดำรงชีวิตได้อีกทางหนึ่งด้วย
4) การศึกษาทางไกลสามารถตอบสนองความต้องการทางการศึกษาได้มากกว่า การศึกษาในระบบโรงเรียน เพราะการศึกษาทางไกลไม่จำกัดอยู่ในชั้นเรียน ไม่มีสถานศึกษาแน่นอน ผู้เรียนรับสื่อได้มากเท่าใดก็สามารถเรียนได้มากเท่านั้น ในขณะที่การศึกษาระบบโรงเรียนจำเป็นจะต้องจำกัดจำนวนของผู้เรียนทั้ง ๆ ที่ความต้องการทางการศึกษามีสูงมาก การศึกษาทางไกลสามารถให้บริการแก่ผู้ที่ต้องการศึกษาเล่าเรียนได้อย่างเต็มที่ การศึกษาทางไกลจึงสามารถกระจายการให้บริการแก่กลุ่มเป้าหมายได้อย่างกว้างขวางและทั่วถึง
5) การศึกษาทางไกลสอดคล้องกับหลักการของการศึกษาตลอดชีวิต เพราะหลักการของการศึกษาตลอดชีวิตถือว่าการศึกษาเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับชีวิตมนุษย์ มนุษย์จึงควรได้รับการศึกษาอย่างต่อเนื่อง ตั้งแต่เกิดจนกระทั่งตาย การศึกษานับเป็นเครื่องมือสำคัญที่จะช่วยให้บุคคลปรับตัวเข้ากับสภาพสังคมและสิ่งแวดล้อม สามารถดำรงตนได้อย่างมีความสุข การศึกษาทางไกลสามารถจัดบริการให้การศึกษาในระบบที่ต่อเนื่องกันไปตลอดชีวิตอย่างเหมาะสมกับทุกเพศทุกวัย โดยเฉพาะอย่างยิ่งสื่อทางโทรทัศน์ที่เข้ามามีบทบาทในสังคมสูงขึ้น การศึกษาทางไกลย่อมสามารถให้ประโยชน์ได้อย่างทั่วถึงแก่ทุกกลุ่มเป้าหมาย
ความหมายของการศึกษาทางไกล
ความหมายได้มีผู้ให้คำนิยามของการเรียนทางไกล (Distance learning) หรือการศึกษาทางไกล (distance education) ไว้หลายท่านด้วยกันดังนี้
เบิร์ก และฟรีวิน (E.R.Burge and CC Frewin ,1985 : 4515) ได้ให้ความหมายของการ เรียนการสอนทางไกลว่า หมายถึงกิจกรรมการเรียนที่สถาบันการศึกษาได้จัดทำเพื่อให้ผู้เรียนซึ่งไม่ได้เลือกเข้าเรียนหรือไม่สามารถจะเข้าเรียนในชั้นเรียนที่มีการสอนตามปกติได้กิจกรรมการเรียนที่จัด ให้มีนี้จะมีการผสมผสานวิธีการที่สัมพันธ์กับทรัพยากร การกำหนดให้มีระบบการจัดส่งสื่อการสอน และมีการวางแผนการดำเนินการ รูปแบบของทรัพยากรประกอบด้วย เอกสาร สิ่งพิมพ์ โสตทัศนูปกรณ์ สื่อคอมพิวเตอร์ ซึ่งผู้เรียนอาจเลือกใช้สื่อเฉพาะตนหรือเฉพาะกลุ่มได้ ส่วนระบบการจัด ส่งสื่อนั้นก็มีการใช้เทคโนโลยีนานาชนิด สำหรับระบบบริหารก็มีการจัดตั้งสถาบันการศึกษาทางไกล ขึ้น เพื่อรับผิดชอบจัดกิจกรรมการเรียนการสอน
โฮล์มเบิร์ก (Borje Holmber, 1989: 127 อ้างถึงใน ทิพย์เกสร บุญอำไพ. 2540 : 38) ได้ ให้ความหมายของการศึกษาทางไกล ว่าหมายถึงการศึกษาที่ผู้เรียนและผู้สอนไม่ได้มาเรียนหรือ สอนกันซึ่ง ๆ หน้า แต่เป็นการจัดโดยใช้ระบบการสื่อสารแบบสองทาง ถึงแม้ว่าผู้เรียนและผู้สอนจะไม่อยู่ในห้องเดียวกันก็ตาม การเรียนการสอนทางไกลเป็นวิธีการสอนอันเนื่องมาจากการแยกอยู่ห่างกันของผู้เรียนและผู้สอน การปฏิสัมพันธ์ดำเนินการผ่านสื่อสิ่งพิมพ์ คอมพิวเตอร์ และเครื่องมืออิเล็กทรอนิกส์ต่าง ๆ
ไกรมส์ (Grimes) ได้ให้นิยามการศึกษาทางไกลว่า คือ "แนวทางทุก ๆ แนวทางของการเรียนรู้จากหลักสูตรการเรียนการสอนปกติที่เกิดขึ้น แต่ในกระบวนการเรียนรู้นี้ครูผู้สอนและนักเรียนอยู่คนละสถานที่กัน " นอกจากนี้ ไกรมส์ ยังได้อธิบายถึงเรื่อง การใช้เทคโนโลยีในการเรียนการสอน ผ่านสื่อทางไกล โดยเขาได้ให้นิยามที่กระชัย เข้าใจง่ายสำหรับการศึกษาทางไกลสมัยใหม่ไว้ว่าคือ "การนำบทเรียนไปสู่นักเรียนโดยใช้เทคโนโลยีมากกว่าที่จะใช้เทคโนโลยีนำนักเรียนเข้าสู่บทเรียน" และไกรมส์ยังได้ถอดความของคีแกน (Keehan) ซี่งได้กำหนดลักษณะเฉพาะของการเรียนการสอนทางไกลไว้ ดังนี้คือ
1. เป็นกระบวนการเรียนการสอนที่ครูและนักเรียนอยู่ต่างถานที่กัน
2. สถาบันการศึกษาเป็นผู้กำหนดขอบเขตและวิธีการในการบริหารจัดการ (รวมทั้งการประเมินผลการเรียนของนักเรียน)
3. ใช้กระบวนการทางสื่อในการนำเสนอเนื้อหาหลักสูตร และเป็นตัวประสานระหว่างครูกับนักเรียน
4. สามารถติดต่อกันได้ทั้งระหว่างครูกับนักเรียนและหรือสถาบันการศึกษากับนักเรียน
วิจิตร ศรีสอ้าน (2529 : 5 - 7) ได้ให้ความหมายของการเรียนการสอนทางไกลว่าหมายถึง ระบบการเรียนการสอนที่ไม่มีชั้นเรียน แต่อาศัยสื่อประสมอันได้แก่ สื่อทางไปรษณีย์ วิทยุกระจาย เสียง วิทยุโทรทัศน์ และการสอนเสริม รวมทั้งศูนย์บริการทางการศึกษา โดยมุ่งให้ผู้เรียนเรียนได้ ด้วยตนเองอยู่กับบ้าน ไม่ต้องมาเข้าชั้นเรียนตามปกติ การเรียนการสอนทางไกลเป็นการสอนที่ผู้ เรียนและผู้สอนจะอยู่ไกลกัน แต่สามารถมีกิจกรรมการเรียนการสอนร่วมกันได้ โดยอาศัยสื่อประสม เป็นสื่อการสอน โดยผู้เรียนผู้สอนมีโอกาสพบหน้ากันอยู่บ้าง ณ ศูนย์บริการ การศึกษาเท่าที่จำเป็น การเรียนรู้ส่วนใหญ่เกิดขึ้นจากสื่อประสมที่ผู้เรียนใช้เรียนด้วยตนเองในเวลาและสถานที่สะดวก
สนอง ฉินนานนท์ (2537 : 17 อ้างถึงใน ทิพย์เกสร บุญอำไพ. 2540 : 7) ได้ให้ความหมาย ของการศึกษาทางไกลว่าเป็นกิจกรรมการเรียนสำหรับผู้ที่ไม่สามารถเข้าเรียนในชั้นเรียนตามปกติได้ ซึ่งอาจจะเป็นเพราะเหตุผลทางภูมิศาสตร์ หรือเหตุผลทางเศรษฐกิจก็ตาม การเรียนการสอนลักษณะ นี้ผู้สอนกับผู้เรียนแยกห่างกัน แต่ก็มีความสัมพันธ์โดยผ่านสื่อการเรียนการสอน การเรียนโดยใช้สื่อการเรียนทางไกลนั้น ใช้สื่อในลักษณะสื่อประสม (Multimedia) ได้แก่ สื่อเอกสาร สื่อโสตทัศน์ และ สื่ออิเล็กทรอนิกส์ เช่นรายการวิทยุ โทรทัศน์ เทปเสียง วีดิทัศน์ และคอมพิวเตอร์
โดยสรุป แล้วการศึกษาทางไกล หมายถึง กิจกรรมการเรียนการสอนที่จัดขึ้นโดยที่ผู้เรียนไม่ จำเป็นต้องเข้าชั้นเรียนปกติ เป็นการเรียนการสอนแบบไม่มีชั้นเรียน แต่อาศัยสื่อต่าง ๆ ที่เรียกว่าสื่อ ประสม ได้แก่ เอกสาร สื่อโสตทัศน์ และสื่ออิเล็กทรอนิกส์ รวมไปถึงสื่อบุคคลช่วยในการจัดการ เรียนการสอน
การศึกษาทางไกลเป็นวิธีการจัดการศึกษารูปแบบหนึ่งที่ใช้สื่อถ่ายทอดเนื้อหาวิชา องค์ความรู้หรือมวลประสบการณ์ต่างๆ โดยที่ผู้เรียนและผู้สอนไม่ต้องมาพบกัน หรือถ้าจำเป็นอาจมีการพบปะกันเป็นโอกาสหรือครั้งคราว โดยมีจุดมุ่งหมายของการพบปะ เพื่อทบทวนหรือซักถามประเด็นปัญหาหรือข้อสงสัยในสิ่งที่เรียนด้วนตนเองไม่เข้าใจ รวมถึงอาจจะเป็นการสรุปหรือทักษะที่สำคัญจากเนื้อหมาวิชานั้นการเรียนรู้ของผู้เรียนจะเน้นการเรียนรู้ด้วยตนเองเป็นสำคัญ ผู้เรียนสามารถเรียนอยู่ที่บ้านหรือที่ทำงาน โดยผู้เรียนจะต้องบริหารการเรียนด้วยตนเอง ภายในเวลาที่สถาบันกำหนด
ความเป็นมาของการศึกษาทางไกล
ความเป็นมาของการศึกษาทางไกลที่จะกล่าวถึงนี้สามารถแยกออกได้ คือในต่างประเทศและ
ในประเทศไทยเพื่อจะได้เข้าใจได้ง่ายยิ่งขึ้น
ในต่างประเทศ
การศึกษาทางไกลในต่างประเทศเริ่มต้นจากการเรียนการสอนทางไปรษณีย์สำหรับผู้ที่อยู่ห่างไกล โดยใช้สื่อเอกสารเกือบทั้งสิ้น โดยใช้ครั้งแรกที่ประเทศอังกฤษ
ในปี คศ.1836 ได้ขยายมาสู่อเมริกาและประเทศอื่นๆในยุโรป
ในปี คศ. 1920 ได้มีการพัฒนาโดยใช้สื่อวิทยุกระจายเสียงเพิ่มเติม
เมื่อเทคโนโลยีสารสนเทศได้มีการพัฒนาและนำมาใช้ควบคู่กับคอมพิวเตอร์ในลักษณะต่างๆ เช่น Internat E-mail เป็นต้น
ในปี คศ. 1961 ประเทศเยอรมันตะวันตกได้ตั้งวิทยาลัยวิทยุโทรทัศน์เพื่อช่วยคนงานให้มีโอกาสศึกษาในระดับที่สูงขึ้น
ในปี คศ. 1964 สหภาพโซเวียตจัดตั้งวิทยาลัยทางไปรษณีย์
ในปี คศ. 1966 ฝรั่งเศสจัดตั้งวิทยาลัยวิทยุกระจายเสียงและโปรแลนด์ได้จัดตั้งวิทยาลัยเทคนิคทางวิทยุโทรทัศน์
การศึกษาทางไกลในประเทศต่างๆ ส่วนใหญ่จะมีจุดมุ่งหมายเพื่อขยายโอกาส ในการเรียนรู้สำหรับประชาชนให้ไปอย่างกว้างขวาง และนำไปใช้จัดการศึกษาในหลายระดับ
ในประเทศไทย
กระทรวงศึกษาธิการได้เริ่มจัดรายการโทรทัศน์เพื่อการศึกษาเป็นครั้งแรกในปี พ.ศ.2500 ทางสถานีโทรทัศน์ไทยทีวี ช่อง 4 (ช่อง 9 อ.ส.ม.ท. ในปัจจุบัน) และทางสถานีวิทยุโทรทัศน์กองทัพบกช่อง 5 และหน่วยงานที่ได้ดำเนินการผลิตพัฒนา และเผยแพร่รายการโทรทัศน์เพื่อการศึกษาอย่างต่อเนื่อง คือ ศูนย์เทคโนโลยีทางการศึกษา กระทรวงศึกษาธิการ ซึ่งได้จัดผลิตรายการส่งเสริมความรู้ด้านวิชาการ ศิลปวัฒนธรรม อาชีพ ฯลฯ สำหรับนักเรียน นักศึกษาและประชาชนทั่วไป
พ.ศ. 2518 ได้จัดการศึกษาทางไกลอย่างเป็นทางการ ซึ่งสามารถแยกพัฒนาการเป็น 2 ระดับคือ
1.การศึกษาทางไกลในระดับต่ำกว่าอุดมศึกษา
ในปี พ.ศ. 2518 กองการศึกษาผู้ใหญ่ กรมสามัญศึกษา ได้ร่วมกับศูนย์เทคโนโลยีทางการศึกษา กรมวิชาการ ทดลองการศึกษาทางวิทยุและทางไปรษณีย์ โดยใช้เอกสารและวิทยุกระจายเสียงเผยแพร่รายการในหลักสูตรรวมถึงรายการเพื่อส่งเสริมความรู้ต่างๆ
ในปี พ.ศ. 2519 ได้ทดลองในหลักสูตรการศึกษาผุ้ใหญ่แบบเบ็ดเสร็จ ระดับ 5 ทางวิทยุและทางไปรษณีย์
ในปี พ.ศ. 2530 กรมการศึกษานอกโรงเรียนได้พัฒนาหลักสูตรการศึกษานอกโรงเรียนสายสามัญขึ้นโดยแบ่งเป็นระดับประถมศึกษา มัธยมศึกษาตอนต้นและมัธยมศึกษาตอนปลาย
ในปี พ.ศ. 2538 ได้มีการจัดทำสื่อสิ่งพิมพ์ในลักษณะชุดวิชา พร้อมรายการวิทยุและโทรทัศน์เพื่อศึกษาในรูปแบบของสื่อประสมบูรณาการเผยแพร่โดยใช้ระบบสัญญาณโทรทัศน์ผ่านดาวเทียมซึ่งจัดออกอากาศเผยแพร่รายการทางสถานีวิทยุกระจายเสียงแห่งประเทศไทยเพื่อการศึกษาและสถานีวิทยุโทรทัศน์เพื่อการศึกษา กระทรวงศึกษาธิการ ภายใต้โครงการจัดการศึกษาทางไกลของกรมการศึกษานอกโรงเรียน แต่ดำเนินงานที่ผ่านมายังมีอาจให้บริการได้อย่างกว้างขวาง ทั่วทุกกลุ่มเป้าหมาย
2.การศึกษาทางไกลระดับอุดมศึกษา
ในปี พ.ศ. 2477 ได้มีการจัดตั้งมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์และการเมือง โดยรับผู้เรียนแบบไม่จำกัดจำนวนในลักษณะตลาดวิชา ใช้การสอนแบบชั้นเรียนเป็นหลักแต่ก็อนุโลมให้ผู้อยู่ห่างไกลหรือติดภารกิจไม่ต้องเข้าชั้นเรียนสามารถศึกษาด้วยตนเองจากเอกสารคำสั่ง เมื่อถึงกำหนดก็มาสอบ
ในปี พ.ศ. 2514 หมาวิทยาลัยคำแหงมีการจัดชั้นเรียนสำหรับผู้เรียนที่สะดวกจะมาเข้าชั้นเรียน ส่วนที่ไม่สะดวกมาเข้าชั้นเรียนสามารถศึกษาจากเอกสารตำราที่อยู่บ้านแล้วมาสอบตามเวลาที่กำหนด โดยทางมหาวิทยาลัยมีการจัดทำรายการวิทยุและรายการโทรทัศน์เสริมการเรียนอีกทางหนึ่ง
ในปี พ.ศ.2521 มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช จัดรายการโทรทัศน์เพื่อการศึกษาขึ้นในรูปแบบการจัดการศึกษาทางไกลระดับอุดมศึกษา
ในปี พ.ศ.2527 กระทรวงศึกษาธิการ อนุมัติให้ศูนย์เทคโนโลยีทางการศึกษาจัดตั้งศูนย์ผลิตรายการวิดีโอเทปขึ้น เพื่อให้ผลิตรายการโทรทัศน์ และวิดีโอเทปเพื่อการศึกษาสำหรับกลุ่มเป้าหมายทั้งใน และนอกโรงเรียน รวมทั้งให้ บริการด้านการผลิตรายการแก่หน่วยงานต่างๆ ภายในกระทรวงศึกษาธิการด้วย
พ.ศ. 2529 ศูนย์เทคโนโลยีทางการศึกษาได้รับมอบหมายจากกระทรวงศึกษาธิการให้เป็นผู้ประสานงานจัดทำร่างแผนแม่บทโครงการพัฒนาโทรทัศน์ และวิดีโอเทปเพื่อการศึกษา (ศูนย์ผลิตรายการโทรทัศน์ และวิดีโอเทปที่รังสิต)
พ.ศ.2530 ศูนย์เทคโนโลยีทางการศึกษาได้รับมอบหมายให้เป็นผู้ประสานงานร่วมกับหน่วยงานต่างๆ ภายในกระทรวงศึกษาธิการจัด และผลิตรายการโทรทัศน์เพื่อการศึกษาออกอากาศทางสถานีวิทยุโทรทัศน์แห่งประเทศไทยช่อง 11
พ.ศ.2537 กระทรวงศึกษาธิการได้พัฒนารูปแบบการจัดการศึกษา โดยใช้เทคโนโลยีการสื่อสารผ่านดาวเทียม ในการจัดการศึกษาทางไกล โดยแพร่ภาพออกอากาศทางสถานีวิทยุโทรทัศน์เพื่อการศึกษากระทรวงศึกษาธิการ (ETV) แพร่ภาพด้วยสัญญาณในระบบดิจิตอลในย่านความถี่
Ku-Band
หลักสำคัญของการศึกษาทางไกล
การเรียนการสอนทางไกลสามารถจำแนกลักษณะสำคัญของการศึกษาทางไกลไว้ได้ ดังนี้
1. ผู้เรียนและผู้สอนอยู่ห่างจากกัน การเรียนการสอนทางไกล เป็นรูปแบบการสอนที่ผู้สอน และผู้เรียนอยู่ห่างไกลกัน มีโอกาสพบปะหรือได้รับความรู้จากผู้สอนโดยตรงต่อหน้าน้อยกว่าการ ศึกษาตามปกติ การติดต่อระหว่างผู้เรียนและผู้สอนนอกจากจะกระทำโดยผ่านสื่อต่าง ๆ แล้ว การ ติดต่อสื่อสารโดยตรงจะเป็นไปในรูปของการเขียนจดหมายโต้ตอบกัน มากกว่าการพบกันเฉพาะหน้า
2. เน้นผู้เรียนเป็นศูนย์กลางการเรียน ในระบบการเรียนการสอนทางไกลผู้เรียนจะมีอิสระใน การเลือกเรียนวิชาและเลือกเวลาเรียนตามที่ตนเห็นสมควร สามารถกำหนดสถานที่เรียนของตนเอง พร้อมทั้งกำหนดวิชาการเรียนและควบคุมการเรียนด้วยตนเอง วิธีการเรียนรู้ก็จะเป็นการเรียนรู้ด้วยตน เอง จากสื่อที่สถาบันการศึกษาจัดบริการรวมทั้งสื่อเสริมในลักษณะอื่น ๆ ที่ผู้เรียนจะหาได้เอง
3. ใช้สื่อและเทคโนโลยีเป็นเครื่องมือในการบริหารและบริการ สื่อทางเทคโนโลยีการศึกษา ที่ใช้ส่วนใหญ่จะใช้สื่อสิ่งพิมพ์เป็นสื่อหลัก โดยจัดส่งให้ผู้เรียนทางไปรษณีย์ สื่อเสริมจัดไว้ในหลายรูปแบบมีทั้งรายการวิทยุกระจายเสียง รายการวิทยุโทรทัศน์ เทปเสียงประกอบชุดวิชา และวิดีทัศน์ประกอบชุดวิชา สิ่งใดที่มิได้จัดส่งแก้ผู้เรียนโดยตรง สถาบันการศึกษาจะจัดไว้ตามศูนย์การศึกษาต่าง ๆ เพื่อให้ผู้เรียนได้มีโอกาสรับฟัง หรือรับชม โดยอาจให้บริการยืมได้ นอกจากสื่อดังกล่าวแล้ว สถาบันการศึกษาที่เปิดสอนทางไกลยังมีสื่อเสริมที่สำคัญอีก เช่น สื่ออิเล็กทรอนิกส์ สื่อ คอมพิวเตอร์ และสื่อการสอนทางโทรทัศน์ฯ เป็นต้น
4. ดำเนินงานและควบคุมคุณภาพในรูปองค์กรคณะบุคคล การศึกษาทางไกลได้รับการยอม รับว่าเป็นส่วนหนึ่งของระบบและวิธีการจัดการศึกษาในประเทศต่าง ๆ มากยิ่งขึ้น เพราะสามารถ จัดการเรียนการสอน ตลอดจนบริการการศึกษาให้แก่ผู้เรียนได้มากกว่าและประหยัดกว่าทั้งนี้เพราะ ไม่มีข้อจำกัดในเรื่องสัดส่วนครูต่อนักเรียนอาคารสถานที่ ในส่วนคุณภาพนั้นผู้รับผิดชอบจัดการศึกษาทุกคนต่างมุ่งหวังให้การศึกษาที่ตนจัดบรรละจุดมุ่งหมาย และมาตรฐานที่รัฐตั้งไว้ การศึกษาทางไกลได้มีการสร้างระบบและองค์กรขึ้นรับผิดชอบในการพัฒนาหลักสูตตและผลิตเอกสารการ สอน ตลอดจนสื่อการสอนประเภทต่าง ๆ รวมทั้งการออกข้อสอบ ลักษณะเช่นนี้ อาจกล่าวได้ว่าการศึกษาทางไกลมีระบบการควบคุมคุณภาพของการศึกษาอย่างเข้มงวดและเคร่งครัด ความรับผิดชอบในการจัดการศึกษามิได้อยู่ภายใต้บุคคลใดบุคคลหนึ่ง หรือองค์กรใดองค์กรหนึ่งโดยเฉพาะแต่เน้นการจัดการศึกษาที่มีการดำเนินงานในรุปองค์กรคณะบุคคล ที่สามารถตรวจสอบได้ทุกขั้นตอน
5. มีการจัดการศึกษาอย่างมีระบบ กระบวนการเรียนการสอนทางไกลได้รับการออกแบบขึ้น อย่างเป็นระบบ เริ่มจากการพัฒนาหลักสูตรและผลิตเอกสาร ตลอดจนสื่อการสอนจากผู้เชี่ยวชาญ ทั้งในด้านเนื้อหา ด้านสื่อ และด้านการวัดและประเมินผล มีการดำเนินงานและผลิตผลงานที่เป็น ระบบ มีการควบคุมมาตรฐานและคุณค่าอย่างแน่นอนชัดเจน จากนั้นจะส่งต่อไปให้ผู้เรียน ส่วนการ ติดต่อที่มาจากผู้เรียนนั้น ผู้เรียนจะจัดส่งกิจกรรมมายังสถานศึกษา ซึ่งหน่วยงานในสถานศึกษาจะ จัดส่งกิจกรรมของผู้เรียนไปตามระบบถึงผู้สอน เพื่อให้ผู้สอนตรวจตามมาตรฐานและคุณภาพการ ศึกษาที่ได้กำหนดไว้
6. มีการใช้สื่อประเภทต่าง ๆ หลากหลาย แทนสื่อบุคคล สื่อที่ใช้แตกต่างกันไปตามเนื้อหา การสอนและการจัดการสอนเป็นการจัดบริการให้แก่ผู้เรียนจำนวนมากในเวลาเดียวกัน ดังนั้นการดำเนินงานในด้านการเตรียมและจัดส่งสื่อการศึกษาจึงต้องจัดทำในรูปของกิจกรรมทางอุตสาหกรรม คือมีการผลิตเป็นจำนวนมาก มีการนำเอาเทคนิคและวิธีการผลิตที่จัดเป็นระบบ และมีการดำเนินงานเป็นขั้นตอนตามระบบอุตสาหกรรม
7. เน้นด้านการผลิตและจัดส่งสื่อการสอนมากกว่าการทำการสอนโดยตรง บทบาทของ สถาบันการสอนในระบบทางไกลจะแตกต่างจากสถาบันที่สอนในระบบเปิดโดยจะเปลี่ยนจากการสอนเป็นรายบุคคลมากเป็นการสอนคนจำนวนมาก สถาบันจะรับผิดชอบด้านการผลิตและจัดส่ง เอกสารและสื่อการศึกษา การประเมินผลการเรียนของผู้เรียน และการจัดสอนเสริมในศูนย์ภูมิภาค
8. มีการจัดตั้งหน่วยงานและโครงสร้างขึ้นเพื่อสนับสนุนการสอนและการบริการผู้เรียน แม้ผู้เรียนและผู้สอนจะอยู่แยกห่างจากกันก็ตาม แต่ผู้เรียนก็จะได้รับการสนับสนุนจากผู้สอนในลักษณะ ต่าง ๆ มีการจัดตั้งศูนย์การศึกษาประจำท้องถิ่นหรือประจำภาคขึ้นเพื่อสนับสนุนให้บริการการศึกษา
9. ใช้การสื่อสารติดต่อแบบสองทางในการจัดการศึกษาทางไกล แม้การจัดการสอนจะเป็น ไปโดยใช้สื่อการสอนประเภทต่าง ๆ แทนการสอนด้วยครูโดยตรง แต่การติดต่อระหว่างผู้สอนกับผู้เรียนก็เป็นไปในรูปการติดต่อสองทาง ซึ่งสถาบันการศึกษาและผู้สอนจะติดต่อกับผู้เรียนโดย จดหมายและโทรศัพท์ ส่วนผู้เรียนก็อาจจะติดต่อกับผู้สอนและสถาบันการศึกษาด้วยวิธีการเดียวกัน นอกจากนี้ทางสถาบันกาารศึกษายังจัดให้มีการติดต่อกับผู้เรียนด้วยการจัดสอนเสริม ซึ่งส่งผู้สอนไปสอนนักศึกษาตามศูนย์บริการการศึกษาประจำจังหวัดตามช่วงเวลาและวิชาที่สถาบันกำหนด
รูปแบบการจัดการเรียนการสอน
1 การศึกษาทางไกลในประเทศไทย
การศึกษาทางไกลนั้นเน้นการศึกษาด้วยตนเองผู้เรียนจะเลือกเรียน และเลือกใช้สื่อที่เหมาะสมกับการ เรียนรู้ของตนเอง ระบบการจัดการศึกษาทางไกล จึงจะต้องมีการจัดการที่เป็นระบบ มีขั้นตอนที่ชัดเจนและมี คุณภาพเป็นที่แน่ใจได้ว่าผู้เรียนจะเกิดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ตามมาตรฐาน ทางวิชาการเช่น เดียวกับการศึกษา ในรูปแบบอื่น ๆ อาจกล่าวได้ว่าการศึกษาทางไกลมีพัฒนาการมาอย่างยาวนานตั้งแต่ พ.ศ.2379 ที่เริ่มมีการให้ปริญญาภายนอกของมหาวิทยาลัยลอนดอน ซึ่งต่อมาได้มีการพัฒนาเป็นการสอนทางไปรษณีย์และได้พัฒนา มาใช้สื่อประเภทต่าง ๆ ได้แก่วิทยุกระจายเสียง วิทยุโทรทัศน์ ต่อเมื่อมีการจัดตั้งมหาวิทยาลัยเปิดขึ้นในประเทศอังกฤษซึ่งใช้สื่อประสมแล้ว การศึกษาทางไกลก็ได้ขยายแนวความคิดกระจายออกไปยังภูมิภาคต่างๆ ทั่วโลก
บทบาทของการศึกษาทางไกลในประเทศไทย
การศึกษาทางไกลเข้ามามีบทบาทในการจัดการศึกษาในประเทศไทย ในราวปี พ.ศ. 2518 โดยแบ่งลักษณะของการพัฒนาการศึกษาออกเป็น 2 ระดับ คือ
1) การศึกษาทางไกลระดับต่ำกว่าอุดมศึกษา ประเทศไทยได้เริ่มนำการศึกษาทางวิทยุ และไปรษณีย์เข้ามาดำเนินการในปี พ.ศ. 2518 โดยกองการศึกษาผู้ใหญ่ กรมสามัญศึกษา ร่วมกับศูนย์เทคโนโลยีทางการศึกษา กรมวิชาการ (ซึ่งต่อมาได้รวมหน่วยงานเข้าด้วยกัน และจัดตั้งเป็นกรมการศึกษานอกโรงเรียน)
ได้เสนอโครงการวิทยุและโทรทัศน์เพื่อการศึกษานอกโรงเรียนขึ้น ในการดำเนินงานนั้นมีการทดลองใช้วิทยุกระจายเสียงเป็นส่วนหนึ่งของการเรียนการสอน (กรมการศึกษานอกโรงเรียน 2519,4) ลักษณะของรายการเป็นรายการทั่วไปและรายการการศึกษา โดยรายการทั่วไปจัดให้กับกลุ่มผู้รับชม รับฟังทั้งในเมืองและชนบท ให้บริการความรู้ทั่วไป และส่งเสริมความคิดใหม่ ๆ ในเรื่องการเกษตร ธรรมจริยา ภูมิปัญญา อนามัยและการวางแผนครอบครัว ในส่วนของรายการการศึกษาจัดให้มีหลักสูตรที่แน่นอน มีระบบการลงทะเบียน มีการพบกลุ่มกับวิทยากรประจำกลุ่ม ในระหว่างปี พ.ศ. 2520-2524 ได้ทดลองจัดการศึกษาผู้ใหญ่แบบเบ็ดเสร็จ ระดับที่ 3-4 และกลุ่มสนใจ รูปแบบการจัดนั้นใช้สื่อ 3 ชนิด คือ คู่มือการเรียนรายการวิทยุ และการพบกลุ่มกับครูประจำกลุ่ม ในช่วงแรกใช้สถานีวิทยุกระจายเสียงของท้องถิ่นเป็นหลัก ต่อมาเมื่อกรมประชาสัมพันธ์ได้จัดตั้งวิทยุกระจายเสียงเพื่อการศึกษาขึ้น จึงได้ใช้สถานีวิทยุแห่งนี้กระจายเสียงรายการการศึกษาของโครงการดังกล่าว และในปี พ.ศ. 2519 ได้ทดลองหลักสูตรการศึกษาผู้ใหญ่แบบเบ็ดเสร็จ ระดับที่ 5 ทางวิทยุและไปรษณีย์ขึนด้วย จนถึงปี พ.ศ. 2530 กรมการศึกษานอกโรงเรียนได้พัฒนาหลักสูตรการศึกษาสายสามัญขึ้น แบ่งการศึกษาเป็นระดับประถมศึกษา มัธยมศึกษาตอนต้น และมัธยมศึกษาตอนปลาย โดยมีวิธีเรียน 3 วิธีเรียน คือ วิธีเรียนแบบชั้นเรียน วิธีเรียนด้วยตนเอง และวิธีเรียนทางไกล ซึ่งพัฒนามาจากการศึกษาสายสามัญและการศึกษาทางวิทยุและไปรษณีย์
ก่อนที่จะมีการพัฒนาการศึกษาทางไกลในรูปของโครงการการศึกษาทางวิทยุและไปรษณีย์นั้น ประมาณปี พ.ศ. 2507 ได้มีการทดลองใช้วิทยุโทรทัศน์เป็นสื่อในการจัดการเรียนการสอนในโรงเรียนประถมศึกษาแล้ว โดยจัดรายการโทรทัศน์เพื่อการศึกษาและรายการวิทยุขึ้น ให้บริการการศึกษาในระบบโรงเรียน และจัดรายการวิทยุเพื่อการศึกษาขึ้น ให้บริการความรู้แก่ประชาชนทั่วไป ออกอากาศที่สถานีวิทยุศึกษา(ปัจจุบันสังกัดศูนย์เทคโนโลยีทางการศึกษากรมการศึกษานอกโรงเรียน) การศึกษาทางไกลในระดับต่ำกว่าอุดมศึกษาดำเนินการโดยกรมการศึกษานอกโรงเรียนกระทรวงศึกษาธิการ ในปัจจุบันใช้หลักสูตรการศึกษานอกโรงเรียน ระดับประถมศึกษา พ.ศ. 2532 ระดับมัธยมศึกษาตอนต้น พ.ศ. 2530 และระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย พ.ศ. 2530 ของกระทรวงศึกษาธิการ จะมีสื่อหลักคือแบบเรียนหรือคู่มือเรียน ให้ผู้เรียนศึกษาและทำแบบฝึกหัดด้วยตนเองและใช้รายการวิทยุเสริมความรู้ในแต่ละหมวดวิชา ออกอากาศทางสถานีวิทยุกระจายเสียงแห่งประเทศไทย เครือข่าย 2 (สวศ. 2) นอกเหนือไปจากสื่อแบบเรียนและรายการวิทยุแล้ว ยังจัดให้ผู้เรียนได้พบกลุ่มซึ่งจะได้พบกับเพื่อนที่เรียนหลักสูตรเดียวกัน ทั้งต่างวัยและต่างอาชีพ เพื่อเป็นการเปิดโลกทัศน์ให้กว้างขวาง มีปฏิสัมพันธ์ทางสังคมที่ดี และจะเป็นประโยชน์ต่อการประกอบอาชีพและการศึกษาของตน ในการพบกลุ่มจะมีครูประจำกลุ่มช่วยเหลือให้คำแนะนำในการเรียน การทำกิจกรรมร่วมกัน การพบกลุ่มนี้จะพบกันสัปดาห์ละ 1 ครั้ง ครั้งละไม่น้อยกว่า 3 ชั่วโมง ผู้เรียนในระดับประถมศึกษาจะได้รับการยกเว้นค่าเล่าเรียน ผู้เรียนในระดับมัธยมศึกษาตอนต้น จะต้องเสียค่าใช้จ่ายเป็นค่าเล่าเรียน 995 บาท ตลอดหลักสูตร และในระดับมัธยมศึกษาตอนปลายก็จะเสียค่าเล่าเรียน 2,335 บาท ตลอดหลักสูตร ปัจจุบันมีผู้เรียนการศึกษาทางไกลของกรมการศึกษานอกโรงเรียน จำนวน 511,895 คน จำแนกเป็นระดับประถมศึกษาจำนวน 36,214 คน ระดับมัธยมศึกษาตอนต้นจำนวน 345,248 คน และระดับมัธยมศึกษาตอนปลายจำนวน 130,433 คน (กรมการศึกษานอกโรงเรียน, มปป., หน้า 1)
2) การศึกษาระดับทางไกลระดับอุดมศึกษา ประมาณปี พ.ศ. 2519 ทบวงมหาวิทยาลัยและมหาวิทยาลัยรามคำแหงได้มีการหารือเพื่อพัฒนาการสอนระบบเปิด โดยใช้สื่อการสอนต่าง ๆ ขึ้น และลดระบบการสอนแบบชั้นเรียนลง แต่ยังไม่สามารถดำเนินการได้อย่างจริงจัง ต่อมาทบวงมหาวิทยาลัยจึงดำริจะจัดตั้งมหาวิทยาลัยที่เปิดสอนโดยระบบทางไกลชั้นสูงในปี พ.ศ. 2519 โดยมีวัตถุประสงค์ที่จะให้การศึกษาและส่งเสริมวิชาการและวิชาชีพชั้นสูง เพื่อให้ประชาชนมีได้โอกาสเพิ่มพูนวิทยฐานะตามความต้องการของสังคม นอกจากนั้นได้ทำการวิจัย ค้นคว้าเพื่อความก้าวหน้าทางวิชาการและเพื่อประโยชน์ในการพัฒนาประเทศ เพื่อให้บริการทางวิชาการแก่สังคมในรูปการเผยแพร่ความรู้และเพื่อยกระดับคุณภาพของประชาชนโดยทั่วไป มหาวิทยาลัยเปิดแห่งนี้จะให้บริการทางการศึกษา ทั้งประเภทให้ปริญญาและประเภทไม่ให้ปริญญา ซึ่งในการบริการทั่วไป กลุ่มประชาชนเป้าหมาย ได้แก่ ผู้ที่มีงานทำแล้วและผู้ที่ยังไม่มีงานทำ ซึ่งประสงค์จะเพิ่มพูนความรู้ในระดับปริญญา รวมทั้งการให้การศึกษาแก่ประชาชนทั่วไปในรูปของการศึกษาต่อเนื่อง (มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช,2534: 37) โดยหลักการและวัตถุประสงค์ดังกล่าว รัฐบาลจึงได้จัดตั้งมหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราชขึ้น ดำเนินการจัดการศึกษาทางไกลสำหรับการศึกษาในระดับอุดมศึกษา
ปัญหาการจัดการศึกษาทางไกลในประเทศไทย
การจัดการศึกษาทางไกลในประเทศไทยนั้น แม้จะมีพัฒนาการมากกว่าทศวรรษแล้วก็ตาม ความที่เป็นประเทศกำลังพัฒนาซึ่งมีข้อจำกัดทางด้านเศรษฐกิจและสังคม ทำให้การจัดการศึกษาทางไกล ยังต้องประสบปัญหาหลัก ๆ อยู่ 3 ประการคือ
1) ปัญหาของผู้จัด ซึ่งส่วนใหญ่เป็นหน่วยงานของรัฐ การบริหารกิจกรรมจึงดำเนินไปตามระบบราชการที่มีขั้นตอนมากมาย ประกอบกับไม่สามารถจะดำเนินการออกอากาศได้เอง โดยเฉพาะรายการโทรทัศน์ ซึ่งดำเนินงานโดยหน่วยงานที่ใช้ระบบธุรกิจ ทำให้การประสานงานไม่สะดวกนัก ดังจะเห็นได้ว่าการผลิตสื่อไม่อยู่ในสภาพที่พร้อมจะใช้ การออกอากาศมีข้อจำกัดในด้านคุณภาพของรายการ รูปแบบรายการและเวลาออกอากาศ
2) ปัญหาของผู้รับบริการ การศึกษาทางไกลเป็นการศึกษาที่ให้อิสระแก่ผู้เรียนมากเป็นพิเศษ ผู้เรียนจะต้องมีวินัยในตนเอง สามารถวางแผนการทำงานและการเรียนไปพร้อม ๆ กันได้ ซึ่งเป็นเรื่องของอุปนิสัยการมีวินัยในตนเอง ฉะนั้น อาจจะทำให้เกิดปัญหาการออกกลางคันของนักศึกษาสูงกว่าปกติ นอกจากนั้นยังประสบปัญหาเกี่ยวกับการรับสื่อของนักศึกษา เช่น การไม่ได้รับเอกสารทางไปรษณีย์ การไม่มีเครื่องรับวิทยุและโทรทัศน์ รวมทั้งตารางออกอากาศอาจจะไม่ตรงกับเวลาว่างของนักศึกษาทางไกล ด้วยเหตุนี้ทำให้การจัดการศึกษาทางไกลต้องใช้สื่อประสม (Muti-media) เพื่อให้นักศึกษามีทางเลือกในการเรียนด้วยตนเองจากสื่อทางไกล
3) ปัญหาของตัวสื่อและเครื่องมือสื่อสาร การผลิตสื่อทางไกลไม่ว่าจะเป็นสื่อประเภทเอกสาร ตำราเรียน หรือสื่อประเภทเทคโนโลยีทางการศึกษา จำเป็นจะต้องใช้ระยะเวลาในการผลิตมาก ตลอดจนต้องลงทุนในด้านงบประมาณในราคาสูง จึงจะได้สื่อที่มีคุณภาพ และจะต้องมีการปรับปรุงบ่อยครั้งให้ทันต่อเหตุการณ์ ซึ่งหากไม่ดำเนินการเลยหรือใช้สื่อเก่า ๆ อยู่ตลอดเวลาก็จะล้าสมัยและไม่เกิดประโยชน์ต่อการเรียนรู้
เครื่องมือการสื่อสารที่จะแพร่กระจายสื่อ เช่น การออกอากาศทางวิทยุกระจายเสียงและโทรทัศน์ ก็เป็นสิ่งสำคัญที่จะนำความรู้ไปสู่กลุ่มเป้าหมายให้ทั่วถึง หากการออกอากาศไม่สามารถครอบคลุมหรือมีจุดบอดบางจุด ประชาชนในจุดนั้นก็จะขาดโอกาสที่จะได้รับความรู้ และข่าวสารข้อมูลที่จำเป็นให้เท่าเทียมกับกลุ่มอื่น ๆ ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อการพัฒนาประชาชนในจุดนั้น ๆ ด้วย ฉะนั้น ในการลงทุนด้านสื่อทั้งทรัพยากรเงิน วัสดุ และสติปัญญา จึงเป็นเรื่องสำคัญและมักจะเกิดปัญหาอยู่เสมอในด้านคุณภาพและขั้นตอนการผลิต
แนวโน้มการพัฒนาการศึกษาทางไกลในประเทศไทย
ปัจจุบันการศึกษาทางไกลได้รับการยอมรับอย่างกว้างขวาง ด้วยเหตุผลที่สำคัญหลายประการได้แก่
1) การศึกษาทางไกลให้โอกาสแก่ผู้ที่พลาดโอกาสทางการศึกษา เพราะหลักการของการจัดการศึกษาทางไกล ให้อิสระแก่ผู้เรียนในการเลือกเรียนได้ตามโอกาสที่เหมาะสม ไม่จำเป็นจะต้องเรียนตามข้อจำกัดในระบบโรงเรียน ฉะนั้น ผู้ที่พลาดโอกาสทางการศึกษาไม่ว่าจะด้วยสาเหตุใดก็ตาม สามารถเข้ารับการศึกษาในระบบทางไกลได้
\ 2) การศึกษาทางไกลเป็นการให้การศึกษาที่ถึงตัวผู้เรียนได้อย่างสะดวก เพราะการศึกษาทางไกล ใช้สื่อที่อยู่ในสังคมทุกชนิด เพื่อให้ผู้เรียนสามารถใช้สื่อที่มีอยู่รอบตัวในชีวิตในชีวิตประจำวันเป็นสื่อสำหรับการเรียนรู้ โดยเฉพาะสื่อทางสิ่งพิมพ์ วิทยุและโทรทัศน์ การเรียนจากการศึกษาทางไกล จึงมีความยึดหยุ่นและคล่องตัวสำหรับผู้เรียน ไม่ต้องกังวลเรื่องค่าใช้จ่ายในการเดินทางไปเรียน นอกจากนั้นผู้เรียนยังสามารถเรียนไปขณะที่ทำงานไปด้วย จึงไม่ต้องเป็นภาระที่จะต้องเดินทางไปศึกษาเล่าเรียน นอกเหนือจากไปทำงานปกติแล้ว
3) การศึกษาทางไกลเป็นเครื่องมือสำคัญในการพัฒนากำลังคน โดยเฉพาะการให้การศึกษาที่เป็นพื้นฐาน ในการประกอบอาชีพในลักษณะของการศึกษาก่อนประจำการ (Presevice training) ซึ่งสามารถดำเนินการได้อย่างรวดเร็ว ให้แก่กลุ่มเป้าหมายจำนวนมาก และการศึกษาทางไกลยังสามารถจัดในระหว่างประจำการ (In-sevice traning) ให้กับกำลังคนในวัยแรงงาน ลักษณะของการศึกษาต่อเนื่องเนื่องได้อีกประการหนึ่ง เพื่แให้ผู้เรียนได้รับความรู้และวิทยาการใหม่ ๆ ที่จะเป็นประโยชน์ต่อการประกอบอาชีพได้อีกด้วย นอกจากนี้ ยังส่งผลกระทบทางอ้อมให้แก่ผู้สนใจโดยทั่วไปที่รับฟังรายการของการศึกษาทางไกลก็ก็จะได้รับการศึกษา ตามอัธยาศัย ซึ่งจะเกิดประโยชน์ในการพัฒนาอาชีพและการดำรงชีวิตได้อีกทางหนึ่งด้วย
4) การศึกษาทางไกลสามารถตอบสนองความต้องการทางการศึกษาได้มากกว่า การศึกษาในระบบโรงเรียน เพราะการศึกษาทางไกลไม่จำกัดอยู่ในชั้นเรียน ไม่มีสถานศึกษาแน่นอน ผู้เรียนรับสื่อได้มากเท่าใดก็สามารถเรียนได้มากเท่านั้น ในขณะที่การศึกษาระบบโรงเรียนจำเป็นจะต้องจำกัดจำนวนของผู้เรียนทั้ง ๆ ที่ความต้องการทางการศึกษามีสูงมาก การศึกษาทางไกลสามารถให้บริการแก่ผู้ที่ต้องการศึกษาเล่าเรียนได้อย่างเต็มที่ การศึกษาทางไกลจึงสามารถกระจายการให้บริการแก่กลุ่มเป้าหมายได้อย่างกว้างขวางและทั่วถึง
5) การศึกษาทางไกลสอดคล้องกับหลักการของการศึกษาตลอดชีวิต เพราะหลักการของการศึกษาตลอดชีวิตถือว่าการศึกษาเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับชีวิตมนุษย์ มนุษย์จึงควรได้รับการศึกษาอย่างต่อเนื่อง ตั้งแต่เกิดจนกระทั่งตาย การศึกษานับเป็นเครื่องมือสำคัญที่จะช่วยให้บุคคลปรับตัวเข้ากับสภาพสังคมและสิ่งแวดล้อม สามารถดำรงตนได้อย่างมีความสุข การศึกษาทางไกลสามารถจัดบริการให้การศึกษาในระบบที่ต่อเนื่องกันไปตลอดชีวิตอย่างเหมาะสมกับทุกเพศทุกวัย โดยเฉพาะอย่างยิ่งสื่อทางโทรทัศน์ที่เข้ามามีบทบาทในสังคมสูงขึ้น การศึกษาทางไกลย่อมสามารถให้ประโยชน์ได้อย่างทั่วถึงแก่ทุกกลุ่มเป้าหมาย
วันเสาร์ที่ 26 มิถุนายน พ.ศ. 2553
วันศุกร์ที่ 25 มิถุนายน พ.ศ. 2553
วันอังคารที่ 22 มิถุนายน พ.ศ. 2553
ทาสของเทคโนโลยี
ทาสของเทคโนโลยี
ในยุคโลกาภิวัตน์ เป็นโลกไร้พรมแดนที่การติดต่อสื่อสารอยู่ในวงแคบขึ้น ซึ่งมีวิทยาการ ในการสื่อสารข้อมูลจากอีกฝ่ายหนึ่งไปยังอีกฝ่ายหนึ่ง อย่างรวดเร็วและเห็นความแตกต่างระหว่างอดีตกับปัจจุบันอย่างเห็นได้ชัด ซึ่งในปัจจุบันได้มีผู้คิดค้นเทคโนโลยีใหม่ ๆ เพื่ออำนวยความสะดวกและสนองความต้องการของมนุษย์ไว้อย่างมากมาย เช่น โทรศัพท์มือถือ โทรศัพท์บ้าน คอมพิวเตอร์ และอินเทอร์เน็ต เทคโนโลยีดังกล่าว มีความเกี่ยวข้องกับทุกคนแม้กระทั่งการเรียนการสอนไม่ว่าจะเป็นในระบบหรือ นอกระบบก็ยังใช้เทคโนโลยีเป็นตัวนำในการเรียนการสอน สิ่งเหล่านี้สามารถอำนวยความสะดวกให้เราได้ทุกอย่าง โดยเฉพาะในเรื่องของการติดต่อสื่อสารทำให้เราติดต่อสื่อสารกันได้เร็ว สะดวก และง่าย แต่ถ้าเรามองกันให้ลึกลงไปในสิ่งที่คิดว่าเป็นประโยชน์ต่อเรา เราอาจมองเห็นโทษของมัน เหมือนดาบสองคมก็ว่าได้ หากเรารู้จักใช้โดยระมัดระวังก็คงไม่เป็นปัญหาอะไร แต่ปัญหาที่หนักในตอนนี้คือ การที่วัยรุ่นใช้โทรศัพท์มือถือและอินเทอร์เน็ตกันอย่างไร้ขอบเขต ใช้อย่างบ้าคลั่ง ใช้อย่างไร้สาระ รู้สึกหมกมุ่นกับอินเทอร์เน็ต ใช้เวลากับมันอย่างมากจนลืมเวลาที่จะพักผ่อน ออกกำลังกายหรือพูดคุย ทำกิจกรรมกับคนในครอบครัว คนที่เรารัก หรือบางคนอาจถึง กับผลการเรียนตกต่ำจนไม่อยากเรียนอีกต่อไป
และปัญหาที่เราพบกันบ่อยขึ้นก็คือ การพูดคุยออนไลน์พบกันในโลกไซเบอร์ที่ใช้ในการพบปะ พูดคุย แลกเปลี่ยนข้อมูลได้โดยเห็นหน้าคู่สนทนา เมื่อคุยกันถูกคอกันก็นัดมาพบกัน ตามมาด้วยการล่วงละเมิดทางเพศ การฆาตกรรม การชิงทรัพย์ จนทำให้บางคนถึงกับเสียอนาคตไปเลยก็มี ปัญหาอีกอย่างหนึ่งที่พบมากก็คือ เกมคอมพิวเตอร์ ฟังดูแล้วไม่น่าจะมีพิษสงอะไรมากนัก เพราะเป็นเกมเล่นเฉย ๆ แต่เราจะทราบหรือไม่ว่าเกมคอมพิวเตอร์ได้ส่งผลเสียต่อเด็กวัยรุ่นที่ขาดสติสัมปชัญญะจนเสียผู้เสียคนมามากต่อมากแล้ว เกมก็เหมือนกับของหลาย ๆ อย่างในโลกนี้มีทั้งด้านบวกและด้านลบ ถ้ารู้จักใช้หรือใช้อย่างพอเหมาะพอดีก็จะเกิดประโยชน์ แต่ถ้าไม่รู้จักใช้หรือใช้มากเกินไปก็จะก่อให้เกิดโทษได้ด้วยเหมือนกัน
ดังนั้น ถึงเวลาแล้วที่เราจะเข้ามาให้ความสำคัญ สอดส่อง ดูแลเยาวชนของเราให้ใช้เทคโนโลยีข่าวสารอย่างถูกต้องเหมาะสม สืบค้นและใช้ข้อมูลอย่างมีวิจารณญาณ รู้เท่าทันเทคโนโลยี อย่าให้ ความง่ายที่มากับเทคโนโลยี กลายเป็นเครื่องสร้าง "ความมักง่าย" ให้เยาวชน สร้างนิสัย หนักไม่เอา เบาไม่สู้ ไม่อยากเรียนรู้ ไม่อยากใช้ความคิด จนต้องกลายเป็นคน "โง่ดักดาน" "โง่ถาวร" ไปเลยก็ได้ การใช้เครื่องมือจากเทคโนโลยี ถ้าให้ดีต้องสอนเด็กให้รู้จักใช้กระบวนการคิดอย่างมีวิจารณญาณ เลือกที่จะรับข้อมูลที่เป็นประโยชน์หรือปฏิเสธข้อมูลที่ให้โทษหรือไร้สาระ สื่อมวลชนเองก็ควรรับผิดชอบต่อสังคมโดยการนำเสนอข้อมูลที่สร้างสรรค์ และจรรโลงสังคม วิทยาศาสตร์ และเทคโนโลยี ก็จะกลายเป็นทาส ของคนที่มีจิตใจดี ไม่เห็นแก่ตัวแทนที่จะเป็นนาย หรือเป็นเครื่องทำลาย และปิดกั้นการเรียนรู้ ของมนุษย์ อย่างที่เป็นอยู่มากมาย ในสังคมไทยปัจจุบัน
ในยุคโลกาภิวัตน์ เป็นโลกไร้พรมแดนที่การติดต่อสื่อสารอยู่ในวงแคบขึ้น ซึ่งมีวิทยาการ ในการสื่อสารข้อมูลจากอีกฝ่ายหนึ่งไปยังอีกฝ่ายหนึ่ง อย่างรวดเร็วและเห็นความแตกต่างระหว่างอดีตกับปัจจุบันอย่างเห็นได้ชัด ซึ่งในปัจจุบันได้มีผู้คิดค้นเทคโนโลยีใหม่ ๆ เพื่ออำนวยความสะดวกและสนองความต้องการของมนุษย์ไว้อย่างมากมาย เช่น โทรศัพท์มือถือ โทรศัพท์บ้าน คอมพิวเตอร์ และอินเทอร์เน็ต เทคโนโลยีดังกล่าว มีความเกี่ยวข้องกับทุกคนแม้กระทั่งการเรียนการสอนไม่ว่าจะเป็นในระบบหรือ นอกระบบก็ยังใช้เทคโนโลยีเป็นตัวนำในการเรียนการสอน สิ่งเหล่านี้สามารถอำนวยความสะดวกให้เราได้ทุกอย่าง โดยเฉพาะในเรื่องของการติดต่อสื่อสารทำให้เราติดต่อสื่อสารกันได้เร็ว สะดวก และง่าย แต่ถ้าเรามองกันให้ลึกลงไปในสิ่งที่คิดว่าเป็นประโยชน์ต่อเรา เราอาจมองเห็นโทษของมัน เหมือนดาบสองคมก็ว่าได้ หากเรารู้จักใช้โดยระมัดระวังก็คงไม่เป็นปัญหาอะไร แต่ปัญหาที่หนักในตอนนี้คือ การที่วัยรุ่นใช้โทรศัพท์มือถือและอินเทอร์เน็ตกันอย่างไร้ขอบเขต ใช้อย่างบ้าคลั่ง ใช้อย่างไร้สาระ รู้สึกหมกมุ่นกับอินเทอร์เน็ต ใช้เวลากับมันอย่างมากจนลืมเวลาที่จะพักผ่อน ออกกำลังกายหรือพูดคุย ทำกิจกรรมกับคนในครอบครัว คนที่เรารัก หรือบางคนอาจถึง กับผลการเรียนตกต่ำจนไม่อยากเรียนอีกต่อไป
และปัญหาที่เราพบกันบ่อยขึ้นก็คือ การพูดคุยออนไลน์พบกันในโลกไซเบอร์ที่ใช้ในการพบปะ พูดคุย แลกเปลี่ยนข้อมูลได้โดยเห็นหน้าคู่สนทนา เมื่อคุยกันถูกคอกันก็นัดมาพบกัน ตามมาด้วยการล่วงละเมิดทางเพศ การฆาตกรรม การชิงทรัพย์ จนทำให้บางคนถึงกับเสียอนาคตไปเลยก็มี ปัญหาอีกอย่างหนึ่งที่พบมากก็คือ เกมคอมพิวเตอร์ ฟังดูแล้วไม่น่าจะมีพิษสงอะไรมากนัก เพราะเป็นเกมเล่นเฉย ๆ แต่เราจะทราบหรือไม่ว่าเกมคอมพิวเตอร์ได้ส่งผลเสียต่อเด็กวัยรุ่นที่ขาดสติสัมปชัญญะจนเสียผู้เสียคนมามากต่อมากแล้ว เกมก็เหมือนกับของหลาย ๆ อย่างในโลกนี้มีทั้งด้านบวกและด้านลบ ถ้ารู้จักใช้หรือใช้อย่างพอเหมาะพอดีก็จะเกิดประโยชน์ แต่ถ้าไม่รู้จักใช้หรือใช้มากเกินไปก็จะก่อให้เกิดโทษได้ด้วยเหมือนกัน
ดังนั้น ถึงเวลาแล้วที่เราจะเข้ามาให้ความสำคัญ สอดส่อง ดูแลเยาวชนของเราให้ใช้เทคโนโลยีข่าวสารอย่างถูกต้องเหมาะสม สืบค้นและใช้ข้อมูลอย่างมีวิจารณญาณ รู้เท่าทันเทคโนโลยี อย่าให้ ความง่ายที่มากับเทคโนโลยี กลายเป็นเครื่องสร้าง "ความมักง่าย" ให้เยาวชน สร้างนิสัย หนักไม่เอา เบาไม่สู้ ไม่อยากเรียนรู้ ไม่อยากใช้ความคิด จนต้องกลายเป็นคน "โง่ดักดาน" "โง่ถาวร" ไปเลยก็ได้ การใช้เครื่องมือจากเทคโนโลยี ถ้าให้ดีต้องสอนเด็กให้รู้จักใช้กระบวนการคิดอย่างมีวิจารณญาณ เลือกที่จะรับข้อมูลที่เป็นประโยชน์หรือปฏิเสธข้อมูลที่ให้โทษหรือไร้สาระ สื่อมวลชนเองก็ควรรับผิดชอบต่อสังคมโดยการนำเสนอข้อมูลที่สร้างสรรค์ และจรรโลงสังคม วิทยาศาสตร์ และเทคโนโลยี ก็จะกลายเป็นทาส ของคนที่มีจิตใจดี ไม่เห็นแก่ตัวแทนที่จะเป็นนาย หรือเป็นเครื่องทำลาย และปิดกั้นการเรียนรู้ ของมนุษย์ อย่างที่เป็นอยู่มากมาย ในสังคมไทยปัจจุบัน
ธุรกิจขนาดกลางและขนาดเล็กก็วางระบบไอทีได้
ธุรกิจขนาดกลางและขนาดเล็กก็วางระบบไอทีได้
ผู้ประกอบธุรกิจขนาดกลาง และขนาดเล็กสามารถวางระบบไอทีเอง ได้อย่างเหมาะสมกับขนาดธุรกิจ เพื่อเพิ่มผลิตภาพ ลดค่าใช้จ่าย และรองรับการดำเนินงานของธุรกิจอย่างต่อเนื่อง ดังนี้
1. การกำหนดมาตรฐานของเครื่องคอมพิวเตอร์ และอุปกรณ์สื่อสาร ที่จะใช้ภายใน องค์การ เพื่อลดค่าใช้จ่าย ด้านการบำรุงรักษา ที่แตกต่างกัน
ควรสั่งซื้ออุปกรณ์ต่าง ๆ จากผู้แทนจำหน่ายรายเดียวกัน โดยเป็นอุปกรณ์ที่มีมาตรฐานเดียวกัน และสามารถเข้ากันได้กับ อุปกรณ์เชื่อมต่อต่าง ๆ เช่น เครื่องพิมพ์ เมาส์ คีย์บอร์ด นอกจากนี้การใช้ซอฟต์แวร์ หรือยูทิลิตี้ที่มีการทำงานในลักษณะที่คล้ายคลึงกัน เพื่อเก็บการตั้งค่าต่าง ๆ ภายในเครื่องคอมพิวเตอร์ จะช่วยให้สะดวกในการซ่อมบำรุงรักษา หรือติดตั้งซอฟต์แวร์ และระบบปฏิบัติการ ในเครื่องคอมพิวเตอร์ใหม่ หรือเครื่องที่ถูกฟอร์แมต
2. การสำรองข้อมูลไว้ภายนอกบริษัท
การสำรองข้อมูลในระบบถือเป็นสิ่งสำคัญของธุรกิจ เพราะหากข้อมูลขององค์กรสูญหาย ย่อมจะส่งผล ต่อการดำเนินธุรกิจอย่างมาก ในธุรกิจขนาดเล็กนั้น มีวิธีการพื้นฐานที่นิยม กันโดยทั่วไปในการสำรองข้อมูลอยู่ 2 วิธี คือ
* การคัดลอกข้อมูลที่สำคัญ ไปไว้ที่ฮาร์ดดิสก์ภายนอก และทำไปเก็บไว้ที่สถานที่ จัดเก็บข้อมูลสำรองที่ปลอดภัย
* การ ใช้บริการสำรองข้อมูลแบบออนไลน์จากผู้ให้บริการ แม้ว่าในธุรกิจขนาดใหญ่นั้น จะใช้การสำรองข้อมูลแบบเทปไว้นอกสถานที่ แต่จะไม่เหมาะกับ ธุกรกิจขนาดเล็ก เพราะมีค่าใช้จ่ายสูง ดังนั้น การสำรองข้อมูลแบบออนไลน์จึงเหมาะสมกับธุรกิจขนาดเล็ก ทั้งในด้านราคา และความสะดวก
3. การใช้ฮาร์ดแวร์ในการรักษาความปลอดภัย ในการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตของ องค์กร
ในธุรกิจขนาดกลาง และขนาดเล็ก มักจะไม่ใส่ใจในเรื่องความปลอดภัย ของการเชื่อม ต่ออินเทอร์เน็ตเท่าที่ควร จึงอาจส่งผลให้เกิดความเสียหายจาก ภัยคุกคามทาง คอมพิวเตอร์ ซึ่งมีทุกรูปแบบทั้งไวรัสคอมพิวเตอร์ มัลแวร์ รวมถึงแฮกเกอร์ ที่พยายามจะ เจาะเข้ามาในระบบ โดยเฉพาะอย่างยิ่งระบบที่มีความสำคัญ เช่น ระบบที่เกี่ยวข้องกับการ เงิน บัตรเครดิต การทำธุรการรมทางการเงินออนไลน์ เป็นต้น
ดังนั้นหากเป็นธุรกิจขนาดกลางที่มีผู้ใช้งานเครือข่ายภายในตั้งแต่ 20-30 คนขึ้นไป ก็ควร
จัด หาไฟร์วอลล์ที่เป็นฮาร์ดแวร์มาติดตั้ง ส่วนธุรกิจขนาดเล็ก ควรใช้ไฟร์วอลล์ ที่เป็นซอฟต์แวร์ ซึ่งจะประหยัดกว่า นอกจากนี้ยังจะต้องติดตั้งซอฟต์แวร์ป้องกัน ไวรัสคอมพิวเตอร์ และมัลแวร์ ควบคู่กันด้วย รวมถึงการกำหนดรหัสผ่าน ที่ยากต่อการคาด เดา การกำหนดให้เปลี่ยนรหัสผ่าน ใหม่ตามระยะเวลาที่กำหนด และที่สำคัญ จะต้องทำการปิดการเชื่อมต่อ อุปกรณ์เชื่อมต่อ เข้าสู่เครือข่ายทุกครั้งก่อนกลับบ้าน เพื่อป้องกันบุคคลอื่นเข้ามาขโมยข้อมูล หรือกระทำการ มิชอบด้วย
4. การใช้เครือข่ายส่วนบุคคลเสมือน (Virtual Private Network) เมื่อมีความจำเป็นต้องเข้าถึงเครือข่าย ขององค์กรจากภายนอก ส่วนใหญ่จะนิยมใช้บริการ เครือข่ายอินเทอร์เน็ตที่เปิดให้บริการ ณ สถานที่นั้น ซึ่งจะมีความปลอดภัยต่ำ และง่ายต่อการ ถูกแฮกข้อมูล เพื่อความปลอดภัยจึงควรติดตั้ง VPN ภายในองค์กร หรือเช่าใช้บริการ SSL VPN จากผู้ให้บริการ ซึ่งจะทำให้การเข้าถึงข้อมูลขององค์กร เป็นไปอย่างสะดวกและปลอดภัย จากทุกที่ทุกเวลา
5. การวางแผนและทดสอบอย่างรอบคอบในการนำเทคโนโลยีใหม่มาใช้งาน ก่อนนำเทคโนโลยีหรือระบบใหม่มาใช้งาน จะต้องทำการทดสอบการทำงาน วิเคราะห์ใน หลากหลายแง่มุม ทั้งด้านที่เป็นจุดแข็ง จุดอ่อน หรือข้อจำกัด จนมั่นใจว่าฮาร์ดแวร์ หรือซอฟต์ แวร์ต่าง ๆ สามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ ตามที่องค์กรต้องการ รวมถึง จะต้องมองไปใน อนาคตว่า ฮาร์ดแวร์หรือซอฟต์แวร์เหล่านั้น สามารถรองรับการใช้งาน ในอนาคตเมื่อธุรกิจ เติบโตขึ้นด้วยหรือไม่
ถึงแม้จะเป็นเพียงบริษัทเล็ก ๆ แต่ก็ไม่ควรมองข้ามการวางระบบไอทีที่ดี เพราะสิ่งหนึ่งที่จะทำให้
ธุรกิจดำเนินไปข้างหน้าได้อย่างมั่นคง ได้แก่การวางระบบไอทีที่เข้มแข็งนั่นเอง
ผู้ประกอบธุรกิจขนาดกลาง และขนาดเล็กสามารถวางระบบไอทีเอง ได้อย่างเหมาะสมกับขนาดธุรกิจ เพื่อเพิ่มผลิตภาพ ลดค่าใช้จ่าย และรองรับการดำเนินงานของธุรกิจอย่างต่อเนื่อง ดังนี้
1. การกำหนดมาตรฐานของเครื่องคอมพิวเตอร์ และอุปกรณ์สื่อสาร ที่จะใช้ภายใน องค์การ เพื่อลดค่าใช้จ่าย ด้านการบำรุงรักษา ที่แตกต่างกัน
ควรสั่งซื้ออุปกรณ์ต่าง ๆ จากผู้แทนจำหน่ายรายเดียวกัน โดยเป็นอุปกรณ์ที่มีมาตรฐานเดียวกัน และสามารถเข้ากันได้กับ อุปกรณ์เชื่อมต่อต่าง ๆ เช่น เครื่องพิมพ์ เมาส์ คีย์บอร์ด นอกจากนี้การใช้ซอฟต์แวร์ หรือยูทิลิตี้ที่มีการทำงานในลักษณะที่คล้ายคลึงกัน เพื่อเก็บการตั้งค่าต่าง ๆ ภายในเครื่องคอมพิวเตอร์ จะช่วยให้สะดวกในการซ่อมบำรุงรักษา หรือติดตั้งซอฟต์แวร์ และระบบปฏิบัติการ ในเครื่องคอมพิวเตอร์ใหม่ หรือเครื่องที่ถูกฟอร์แมต
2. การสำรองข้อมูลไว้ภายนอกบริษัท
การสำรองข้อมูลในระบบถือเป็นสิ่งสำคัญของธุรกิจ เพราะหากข้อมูลขององค์กรสูญหาย ย่อมจะส่งผล ต่อการดำเนินธุรกิจอย่างมาก ในธุรกิจขนาดเล็กนั้น มีวิธีการพื้นฐานที่นิยม กันโดยทั่วไปในการสำรองข้อมูลอยู่ 2 วิธี คือ
* การคัดลอกข้อมูลที่สำคัญ ไปไว้ที่ฮาร์ดดิสก์ภายนอก และทำไปเก็บไว้ที่สถานที่ จัดเก็บข้อมูลสำรองที่ปลอดภัย
* การ ใช้บริการสำรองข้อมูลแบบออนไลน์จากผู้ให้บริการ แม้ว่าในธุรกิจขนาดใหญ่นั้น จะใช้การสำรองข้อมูลแบบเทปไว้นอกสถานที่ แต่จะไม่เหมาะกับ ธุกรกิจขนาดเล็ก เพราะมีค่าใช้จ่ายสูง ดังนั้น การสำรองข้อมูลแบบออนไลน์จึงเหมาะสมกับธุรกิจขนาดเล็ก ทั้งในด้านราคา และความสะดวก
3. การใช้ฮาร์ดแวร์ในการรักษาความปลอดภัย ในการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตของ องค์กร
ในธุรกิจขนาดกลาง และขนาดเล็ก มักจะไม่ใส่ใจในเรื่องความปลอดภัย ของการเชื่อม ต่ออินเทอร์เน็ตเท่าที่ควร จึงอาจส่งผลให้เกิดความเสียหายจาก ภัยคุกคามทาง คอมพิวเตอร์ ซึ่งมีทุกรูปแบบทั้งไวรัสคอมพิวเตอร์ มัลแวร์ รวมถึงแฮกเกอร์ ที่พยายามจะ เจาะเข้ามาในระบบ โดยเฉพาะอย่างยิ่งระบบที่มีความสำคัญ เช่น ระบบที่เกี่ยวข้องกับการ เงิน บัตรเครดิต การทำธุรการรมทางการเงินออนไลน์ เป็นต้น
ดังนั้นหากเป็นธุรกิจขนาดกลางที่มีผู้ใช้งานเครือข่ายภายในตั้งแต่ 20-30 คนขึ้นไป ก็ควร
จัด หาไฟร์วอลล์ที่เป็นฮาร์ดแวร์มาติดตั้ง ส่วนธุรกิจขนาดเล็ก ควรใช้ไฟร์วอลล์ ที่เป็นซอฟต์แวร์ ซึ่งจะประหยัดกว่า นอกจากนี้ยังจะต้องติดตั้งซอฟต์แวร์ป้องกัน ไวรัสคอมพิวเตอร์ และมัลแวร์ ควบคู่กันด้วย รวมถึงการกำหนดรหัสผ่าน ที่ยากต่อการคาด เดา การกำหนดให้เปลี่ยนรหัสผ่าน ใหม่ตามระยะเวลาที่กำหนด และที่สำคัญ จะต้องทำการปิดการเชื่อมต่อ อุปกรณ์เชื่อมต่อ เข้าสู่เครือข่ายทุกครั้งก่อนกลับบ้าน เพื่อป้องกันบุคคลอื่นเข้ามาขโมยข้อมูล หรือกระทำการ มิชอบด้วย
4. การใช้เครือข่ายส่วนบุคคลเสมือน (Virtual Private Network) เมื่อมีความจำเป็นต้องเข้าถึงเครือข่าย ขององค์กรจากภายนอก ส่วนใหญ่จะนิยมใช้บริการ เครือข่ายอินเทอร์เน็ตที่เปิดให้บริการ ณ สถานที่นั้น ซึ่งจะมีความปลอดภัยต่ำ และง่ายต่อการ ถูกแฮกข้อมูล เพื่อความปลอดภัยจึงควรติดตั้ง VPN ภายในองค์กร หรือเช่าใช้บริการ SSL VPN จากผู้ให้บริการ ซึ่งจะทำให้การเข้าถึงข้อมูลขององค์กร เป็นไปอย่างสะดวกและปลอดภัย จากทุกที่ทุกเวลา
5. การวางแผนและทดสอบอย่างรอบคอบในการนำเทคโนโลยีใหม่มาใช้งาน ก่อนนำเทคโนโลยีหรือระบบใหม่มาใช้งาน จะต้องทำการทดสอบการทำงาน วิเคราะห์ใน หลากหลายแง่มุม ทั้งด้านที่เป็นจุดแข็ง จุดอ่อน หรือข้อจำกัด จนมั่นใจว่าฮาร์ดแวร์ หรือซอฟต์ แวร์ต่าง ๆ สามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ ตามที่องค์กรต้องการ รวมถึง จะต้องมองไปใน อนาคตว่า ฮาร์ดแวร์หรือซอฟต์แวร์เหล่านั้น สามารถรองรับการใช้งาน ในอนาคตเมื่อธุรกิจ เติบโตขึ้นด้วยหรือไม่
ถึงแม้จะเป็นเพียงบริษัทเล็ก ๆ แต่ก็ไม่ควรมองข้ามการวางระบบไอทีที่ดี เพราะสิ่งหนึ่งที่จะทำให้
ธุรกิจดำเนินไปข้างหน้าได้อย่างมั่นคง ได้แก่การวางระบบไอทีที่เข้มแข็งนั่นเอง
วันอาทิตย์ที่ 20 มิถุนายน พ.ศ. 2553
วิทยาศาสตร์น่ารู้ 1
ทำไมพริกจึงเผ็ด ?
ความเผ็ดร้อนเกิดจากกรดชนิดหนึ่งเรียกว่าแคปไซซิน ซึ่งอยู่ที่ผิวด้านในของ
ฝักพริก หลายคนเข้าใจผิดว่าเม็ดพริกก็เผ็ดเหมือนกัน ทั้งที่ตามจริงไม่มีแคปไซซินเลย อย่างไรก็ตาม
กรดชนิดนี้กระจายอยู่ในยวงที่มีเม็ดพริกติดอยู่ เมื่อแกะเม็ดพริกออก เนื้อพริกในส่วนนี้ก็จะติดมาด้วย
และทำให้เผ็ดน้อยลง แม้แคปไซซินจะให้รสเผ็ดถึงใจก็ตาม พริกแต่ละเม็ดมีกรดชนิดนี้อยู่เพียง
ร้อยละ 0.1 เท่านั้น
บาดแผลหายได้อย่างไร ?
ขณะที่เรากำลังใช้มีด บางครั้งอาจจะเผลอทำมีดบาดตัวเอง แต่ทันทีทันใดนั้น ร่างกายของ
เราก็จะเริ่มซ่อมแซมบาดแผลที่เกิดขึ้นทันที สิ่งเหล่านี้เกิดขึ้นได้อย่างไร ?
ภายในเวลาไม่กี่นาที ปลายเส้นเลือดที่ขาดก็ถูกหยุดด้วย เกล็ดเลือด ( platelets ) และเส้นใย
โปรตีนที่เรียกว่า ไฟบริน ( fibrin ) เลือดที่ออกมาอยู่ในแผลก็จะแข็งตัวกลายเป็นสะเก็ดคลุมแผลอยู่
ร่างกายเริ่มส่งเลือดมายังบริเวณบาดแผลเพิ่มขึ้น เม็ดเลือดขาวที่มากับกระแสเลือดก็จะคอยฆ่าพวกเชื้อโรค
ที่บุกรุกเข้ามา คอยจับทำลายพวกเซลล์ที่ตายแล้วและสิ่งแปลกปลอมต่างๆ ขณะเดียวกัน เซลล์ชั้นนอกสุด
ของผิวหนัง ( epidermal cell ) ก็จะแบ่งตัว และเคลื่อนที่จากขอบแผลทั้งสองข้างเข้ามาบรรจบกันใหม่
ตรงกลายภายใต้สะเก็ดเลือด บาดแผลก็จะถูกคลุมด้วยชั้นเซลล์เหมือนเดิม เส้นเลือดในบริเวณนั้นจะเจริญ
แทงเข้ามายังบาดแผลเพื่อนำออกซิเจนและอาหารมาเลี้ยง
เซลล์ที่เรียกว่า ไฟโบรบลาสต์ ( fibroblast ) จะแบ่งตัวอย่างรวดเร็ว เพื่อสร้างเนื้อเยื่อมาเสริม
บริเวณบาดแผลให้เต็มโดยการผลิต คอลลาเจน ( collagen ) ซึ่งเป็นเส้นใยที่มีความเหนียว ทำให้บาดแผล
มีความแข็งแรง ขณะเดียวกันไฟโบรบลาสต์จะหดตัว ทำให้บาดแผลสองข้างชิดกันเข้ามามากขึ้น
ปลายเส้นประสาทที่ขาดก็จะค่อย ๆ สอดเข้าไปในแผลเพื่อให้ความรู้สึกบางส่วนของบริเวณนั้นกลับคืนมา เส้นเลือดต่าง ๆ ก็จะงอกเข้าหากันจนประสานกันเป็นร่างแหอยู่ภายในบาดแผล
ในที่สุด สะเก็ดเลือดบนแผลก็หลุดออกไป ผิวหนังก็กลับมาประสานกันเหมือนเดิม เนื้อเยื่อ
ภายใต้นั้นก็จะหนาแน่นไปด้วยไฟโบรบลาสต์และเส้นใยคอลลาเจน ซึ่งจะค่อย ๆ เรียงตัวให้อยู่ในแนวที่รับ
ความตึงเครียดได้ดีที่สุด เพื่อให้บาดแผลที่หายแล้ว มีความแข็งแรงเหมือนเดิม
ทำไมคนเราจึงดื่มน้ำทะเลไม่ได้ ?
นกทะเลและสัตว์เลื้อยคลานหลายชนิดจะมีต่อมพิเศษสำหรับถ่ายเกลือออกจากร่างกายโดยเฉพาะ
นกนางนวลสามารถดื่มน้ำทะเลได้ถึง 10% ของน้ำหนักตัว และสามารถกำจัดเกลือที่มีมากเกินไปได้ภายใน
เวลาประมาณ 3 ชั่วโมงเท่านั้น ถ้ามนุษย์จำเป็นต้องดื่มน้ำทะเลในสัดส่วนเท่านกคือ 2 แกลลอน
( 7.56 ลิตร )น้ำจะถูกดูดออกจากร่างกายเนื่องจากความพยายามที่จะกำจัดเกลือที่มีมากเกินไปออกจาก
ร่างกายไม่มีสัตว์ชนิดใดมีเกลือสะสมอยู่ในร่างกายได้เกินร้อยละ 0.9 เกลือที่มีมากเกินกว่าปริมาณนี้ จะถูก
ขับออกมากับปัสสาวะ ไตของมนุษย์ไม่สามารถกำจัดเกลือที่มีอยู่ในปัสสาวะได้เกินกว่าร้อยละ 2.2 ดังนั้น
มนุษย์จึงไม่สามารถดื่มน้ำทะเลซึ่งมีเกลือผสมอยู่ถึงร้อยละ 3.5 ได้ ม้าสามารถกำจัดเกลือที่มีอยู่ในปัสสาวะได้เพียงร้อยละ 1.5 เนื่องจากไตไม่มีประสิทธิภาพ ดังนั้น ม้าจึงไม่สามารถดื่มน้ำกร่อยซึ่งมนุษย์สามารถ
บริโภคได้
ความเผ็ดร้อนเกิดจากกรดชนิดหนึ่งเรียกว่าแคปไซซิน ซึ่งอยู่ที่ผิวด้านในของ
ฝักพริก หลายคนเข้าใจผิดว่าเม็ดพริกก็เผ็ดเหมือนกัน ทั้งที่ตามจริงไม่มีแคปไซซินเลย อย่างไรก็ตาม
กรดชนิดนี้กระจายอยู่ในยวงที่มีเม็ดพริกติดอยู่ เมื่อแกะเม็ดพริกออก เนื้อพริกในส่วนนี้ก็จะติดมาด้วย
และทำให้เผ็ดน้อยลง แม้แคปไซซินจะให้รสเผ็ดถึงใจก็ตาม พริกแต่ละเม็ดมีกรดชนิดนี้อยู่เพียง
ร้อยละ 0.1 เท่านั้น
บาดแผลหายได้อย่างไร ?
ขณะที่เรากำลังใช้มีด บางครั้งอาจจะเผลอทำมีดบาดตัวเอง แต่ทันทีทันใดนั้น ร่างกายของ
เราก็จะเริ่มซ่อมแซมบาดแผลที่เกิดขึ้นทันที สิ่งเหล่านี้เกิดขึ้นได้อย่างไร ?
ภายในเวลาไม่กี่นาที ปลายเส้นเลือดที่ขาดก็ถูกหยุดด้วย เกล็ดเลือด ( platelets ) และเส้นใย
โปรตีนที่เรียกว่า ไฟบริน ( fibrin ) เลือดที่ออกมาอยู่ในแผลก็จะแข็งตัวกลายเป็นสะเก็ดคลุมแผลอยู่
ร่างกายเริ่มส่งเลือดมายังบริเวณบาดแผลเพิ่มขึ้น เม็ดเลือดขาวที่มากับกระแสเลือดก็จะคอยฆ่าพวกเชื้อโรค
ที่บุกรุกเข้ามา คอยจับทำลายพวกเซลล์ที่ตายแล้วและสิ่งแปลกปลอมต่างๆ ขณะเดียวกัน เซลล์ชั้นนอกสุด
ของผิวหนัง ( epidermal cell ) ก็จะแบ่งตัว และเคลื่อนที่จากขอบแผลทั้งสองข้างเข้ามาบรรจบกันใหม่
ตรงกลายภายใต้สะเก็ดเลือด บาดแผลก็จะถูกคลุมด้วยชั้นเซลล์เหมือนเดิม เส้นเลือดในบริเวณนั้นจะเจริญ
แทงเข้ามายังบาดแผลเพื่อนำออกซิเจนและอาหารมาเลี้ยง
เซลล์ที่เรียกว่า ไฟโบรบลาสต์ ( fibroblast ) จะแบ่งตัวอย่างรวดเร็ว เพื่อสร้างเนื้อเยื่อมาเสริม
บริเวณบาดแผลให้เต็มโดยการผลิต คอลลาเจน ( collagen ) ซึ่งเป็นเส้นใยที่มีความเหนียว ทำให้บาดแผล
มีความแข็งแรง ขณะเดียวกันไฟโบรบลาสต์จะหดตัว ทำให้บาดแผลสองข้างชิดกันเข้ามามากขึ้น
ปลายเส้นประสาทที่ขาดก็จะค่อย ๆ สอดเข้าไปในแผลเพื่อให้ความรู้สึกบางส่วนของบริเวณนั้นกลับคืนมา เส้นเลือดต่าง ๆ ก็จะงอกเข้าหากันจนประสานกันเป็นร่างแหอยู่ภายในบาดแผล
ในที่สุด สะเก็ดเลือดบนแผลก็หลุดออกไป ผิวหนังก็กลับมาประสานกันเหมือนเดิม เนื้อเยื่อ
ภายใต้นั้นก็จะหนาแน่นไปด้วยไฟโบรบลาสต์และเส้นใยคอลลาเจน ซึ่งจะค่อย ๆ เรียงตัวให้อยู่ในแนวที่รับ
ความตึงเครียดได้ดีที่สุด เพื่อให้บาดแผลที่หายแล้ว มีความแข็งแรงเหมือนเดิม
ทำไมคนเราจึงดื่มน้ำทะเลไม่ได้ ?
นกทะเลและสัตว์เลื้อยคลานหลายชนิดจะมีต่อมพิเศษสำหรับถ่ายเกลือออกจากร่างกายโดยเฉพาะ
นกนางนวลสามารถดื่มน้ำทะเลได้ถึง 10% ของน้ำหนักตัว และสามารถกำจัดเกลือที่มีมากเกินไปได้ภายใน
เวลาประมาณ 3 ชั่วโมงเท่านั้น ถ้ามนุษย์จำเป็นต้องดื่มน้ำทะเลในสัดส่วนเท่านกคือ 2 แกลลอน
( 7.56 ลิตร )น้ำจะถูกดูดออกจากร่างกายเนื่องจากความพยายามที่จะกำจัดเกลือที่มีมากเกินไปออกจาก
ร่างกายไม่มีสัตว์ชนิดใดมีเกลือสะสมอยู่ในร่างกายได้เกินร้อยละ 0.9 เกลือที่มีมากเกินกว่าปริมาณนี้ จะถูก
ขับออกมากับปัสสาวะ ไตของมนุษย์ไม่สามารถกำจัดเกลือที่มีอยู่ในปัสสาวะได้เกินกว่าร้อยละ 2.2 ดังนั้น
มนุษย์จึงไม่สามารถดื่มน้ำทะเลซึ่งมีเกลือผสมอยู่ถึงร้อยละ 3.5 ได้ ม้าสามารถกำจัดเกลือที่มีอยู่ในปัสสาวะได้เพียงร้อยละ 1.5 เนื่องจากไตไม่มีประสิทธิภาพ ดังนั้น ม้าจึงไม่สามารถดื่มน้ำกร่อยซึ่งมนุษย์สามารถ
บริโภคได้
ความหมายเทคโนโลยีสารสนเทศ
เทคโนโลยีสารสนเทศเพื่อการศึกษา
ความหมาย
เพื่อที่จะให้เข้าใจความหมายของเทคโนโลยีสารสนเทศเพื่อการศึกษา เราคงจะต้อง
ทำความเข้าใจกับคำต่างๆ ที่ประกอบเป็นคำนี้ อันได้แก่ เทคโนโลยี สาร และสนเทศ
เทคโนโลยีมีความหมายถึง การประยุกต์ใช้ความรู้ทางวิทยาศาสตร์ต่องานปฏิบัติทั้งหลาย
เพื่อให้งานนั้นมีประสิทธิผลและประสิทธิภาพ
สารสนเทศ อ่านว่า สาระ-สน-เทศสาร หรือ สาระ เป็นคำประกอบหน้าคำ แปลว่า สำคัญ
สนเทศ หมายถึง คำสั่ง ข่าวสาร ใบบอก
สารสนเทศ จึงหมายถึงข่าวสารที่สำคัญ เป็นระบบข่าวสารที่กำหนดขึ้น และจัดทำขึ้นภายในองค์การต่างๆตามความต้องการของเจ้าของหรือผู้บริหารองค์การนั้นๆ
สารสนเทศ ตรงกับคำในภาษาอังกฤษว่า Information สำหรับคำว่า Information นั้น พจนานุกรมเวบสเตอร์ ให้ความหมายไว้ว่า ความรู้ที่ได้จากการศึกษาค้นคว้าสารสนเทศ เป็นความรู้และข่าวสารที่สำคัญที่มีลักษณะพิเศษ ทั้งในด้านการได้มา
และประโยชน์ในการนำไปใช้ปฏิบัติ จึงได้มีการประมวลความหมายของสารสนเทศไว้ใกล้เคียงกัน ดังนี้
สารสนเทศ หมายถึงข้อมูลทั้งด้านปริมาณและด้านคุณภาพที่ประมวลจัดหมวดหมู่ เปรียบเทียบ
และวิเคราะห์แล้วสามารถนำมาใช้ได้ หรือนำมาประกอบการพิจารณาได้สะดวกกว่าและง่ายกว่า
สารสนเทศ คือข้อมูลที่ได้รับการประมวลให้อยู่ในรูปแบบที่มีความหมายต่อผู้รับ และมีทั้งคุณค่า
อันแท้จริง หรือที่คาดการณ์ว่าจะมีสำหรับการดำเนินงานหรือการตัดสินใจในปัจจุบันและอนาคต
สารสนเทศ หมายถึง ข่าวสารที่ได้จากการนำข้อมูลดิบมาคำนวณทางสถิติ
หรือประมวลผลอย่างใดอย่างหนึ่ง ซึ่งข่าวสารที่ได้ออกมานั้นจะอยู่ในรูปที่สามารถนำมาใช้งานได้ทันที
หากพิจารณาจากความหมายของสารสนเทศที่กล่าวมาแล้วนี้ จะเห็นว่าสารสนเทศมี
คุณลักษณะที่สำคัญอยู่ 3 ประการ คือ
1. เป็นข้อมูลที่ผ่านการประมวลผลแล้ว
2. เป็นรูปแบบที่มีประโยชน์ นำไปใช้งานได้
3. มีคุณค่าสำหรับใช้ในการดำเนินงานและการตัดสินใจ
อ้างอิง http://learners.in.th/blog/mooddang/256432
ความหมาย
เพื่อที่จะให้เข้าใจความหมายของเทคโนโลยีสารสนเทศเพื่อการศึกษา เราคงจะต้อง
ทำความเข้าใจกับคำต่างๆ ที่ประกอบเป็นคำนี้ อันได้แก่ เทคโนโลยี สาร และสนเทศ
เทคโนโลยีมีความหมายถึง การประยุกต์ใช้ความรู้ทางวิทยาศาสตร์ต่องานปฏิบัติทั้งหลาย
เพื่อให้งานนั้นมีประสิทธิผลและประสิทธิภาพ
สารสนเทศ อ่านว่า สาระ-สน-เทศสาร หรือ สาระ เป็นคำประกอบหน้าคำ แปลว่า สำคัญ
สนเทศ หมายถึง คำสั่ง ข่าวสาร ใบบอก
สารสนเทศ จึงหมายถึงข่าวสารที่สำคัญ เป็นระบบข่าวสารที่กำหนดขึ้น และจัดทำขึ้นภายในองค์การต่างๆตามความต้องการของเจ้าของหรือผู้บริหารองค์การนั้นๆ
สารสนเทศ ตรงกับคำในภาษาอังกฤษว่า Information สำหรับคำว่า Information นั้น พจนานุกรมเวบสเตอร์ ให้ความหมายไว้ว่า ความรู้ที่ได้จากการศึกษาค้นคว้าสารสนเทศ เป็นความรู้และข่าวสารที่สำคัญที่มีลักษณะพิเศษ ทั้งในด้านการได้มา
และประโยชน์ในการนำไปใช้ปฏิบัติ จึงได้มีการประมวลความหมายของสารสนเทศไว้ใกล้เคียงกัน ดังนี้
สารสนเทศ หมายถึงข้อมูลทั้งด้านปริมาณและด้านคุณภาพที่ประมวลจัดหมวดหมู่ เปรียบเทียบ
และวิเคราะห์แล้วสามารถนำมาใช้ได้ หรือนำมาประกอบการพิจารณาได้สะดวกกว่าและง่ายกว่า
สารสนเทศ คือข้อมูลที่ได้รับการประมวลให้อยู่ในรูปแบบที่มีความหมายต่อผู้รับ และมีทั้งคุณค่า
อันแท้จริง หรือที่คาดการณ์ว่าจะมีสำหรับการดำเนินงานหรือการตัดสินใจในปัจจุบันและอนาคต
สารสนเทศ หมายถึง ข่าวสารที่ได้จากการนำข้อมูลดิบมาคำนวณทางสถิติ
หรือประมวลผลอย่างใดอย่างหนึ่ง ซึ่งข่าวสารที่ได้ออกมานั้นจะอยู่ในรูปที่สามารถนำมาใช้งานได้ทันที
หากพิจารณาจากความหมายของสารสนเทศที่กล่าวมาแล้วนี้ จะเห็นว่าสารสนเทศมี
คุณลักษณะที่สำคัญอยู่ 3 ประการ คือ
1. เป็นข้อมูลที่ผ่านการประมวลผลแล้ว
2. เป็นรูปแบบที่มีประโยชน์ นำไปใช้งานได้
3. มีคุณค่าสำหรับใช้ในการดำเนินงานและการตัดสินใจ
อ้างอิง http://learners.in.th/blog/mooddang/256432
สมัครสมาชิก:
ความคิดเห็น (Atom)

















